พลั่ก!
อึก... ความรู้สึกจุกแล่นปราดไปทั่วร่าง ฉันเม้มปากแน่น มัวแต่ตะลึงในความเจ็บจนไม่ทันมองคาวะที่ถลกเสื้อของเขาออกจากตัว ได้สติอีกทีก็ตอนที่ร่างสูงโถมทับลงมาด้วยเนื้อตัวท่อนบนที่เปลือยเปล่า
“กรี๊ด ออกไปนะ”
ฉันทุบแผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างแตกตื่น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้แทบทะลักออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา
“อย่า! คาวะอย่า...”
ฉันกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง หมอนั่นบีบข้อมือทั้งสองข้างของฉันแน่น ก่อนจะเอามืออีกข้างปิดปากฉันที่ร้องไม่หยุดเอาไว้
“เฮ้ย! ได้ยินเสียงอะไรไหมวะ”
แว่วเสียงคนคุยกันดังทะลุผนังห้องเข้ามา หัวใจฉันกระตุกวูบ มองสบสายตาคมกริบของคาวะอย่างสับสน ไม่นะ ...มีคนอื่นอยู่ข้างนอก ร่างกายที่เคยดิ้นพราดหยุดนิ่งทันที หวาดกลัวจนแทบเสียสติว่าคนอื่นจะรู้เรื่องที่ฉันอยู่ในนี้
“ผมลืมล็อกห้องด้วยสิท่านซายูริ”
“เอ๊ะ...”
“ถ้ามีคนเปิดประตูเข้ามาเห็นตอนที่เรากำลังทำแบบนี้กันจะทำไงดีน๊า”
คาวะโน้มลงมากระซิบข้างใบหูพร้อมกับที่ความร้อนผ่าวแทรกผ่านเข้ามาในร่างกายฉันจนเต็มแน่น ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ไม่รู้ตัว... ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าชั้นในถูกดึงทึ้งออกไปตอนไหน ไม่เห็นแม้กระทั่งคาวะปลดเปลื้องกางเกง
“อื้อ!!”
ฉันเบิกตากว้าง ความแข็งแกร่งของคาวะบุกรุกเข้ามาอย่างดุดันและกะทันหัน รอยแผลเก่ายังไม่ทันจางก็ถูกซ้ำเติมอย่างไร้เยื่อใย ฉันเจ็บจนใจจะขาดแต่ปีศาจร้ายตรงหน้ากลับกำลังยิ้มเยาะ ฉันส่งสายตาขอร้องอ้อนวอนให้เขาเอาออกแต่สิ่งที่คาวะทำกลับตรงกันข้าม
หมอนั่นขยับ...
“อื้อ!~”
ฉันดิ้นขืนอย่างรู้สึกทนรับความเจ็บนี้ไม่ไหว เสียงดิ้นดังขลุกขลักทำให้ฝีเท้าของคนที่อยู่ข้างนอกชะงักกึก
“มึงได้ยินไหมวะเมื่อกี้”
“หือ... ไม่นี่หว่า หูแว่วหรือเปล่า”
“แต่กูว่ากูได้ยิน เหมือนดังมาจากห้องเนี้ย... ห้องไอ้เด็กใหม่”
เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ประตู ฉันใจหายใจคว่ำ ส่ายหน้าอย่างรู้สึกหวาดกลัว คิดไม่ออกว่าจะเป็นยังไงถ้ามีคนเปิดประตูเข้ามาเห็นสภาพนี้จริงๆ
...คงอายจนไม่อยากมีชีวิตต่อ
ชั่วขณะที่ฉันตกอยู่ภายใต้ความหวาดหวั่นคาวะยังขยับไม่หยุด ในหัวฉันเบลอไปหมด เจ็บจนแทบสลบ
“อือ... อื้อ!~”
ฉันพยายามข่มกลั้นเสียงครางแต่ก็ยังมีเล็ดลอด น้ำตาซึมไหลออกจากหางตา ภาวนาให้ห้วงเวลาที่แสนทรมานนี้ผ่านพ้นไปสักที อย่างน้อยที่สุดฉันก็ไม่อยากทนฝืนกลั้นแม้กระทั่งเสียงกรีดร้องของตัวเอง
“จะทำอะไร อย่าไปยุ่งดีกว่า กูเห็นมันเพิ่งเข้ามา มันคงจะอยู่ในห้องนั่นแหละ”
“แต่กูได้ยินเหมือนมีผู้หญิงอยู่ด้วย”
“เฮ้ยคิดมาก ไอ้เวรนั่นขึ้นมาคนเดียวกูเห็น... หรือไม่”
“หรือไม่อะไรวะ” เสียงที่ถามกลับอัดแน่นไปด้วยความกระหายรู้ ฉันถึงกลับเงี่ยหูรอฟังอย่างลุ้นระทึก จิตใจร้อนรนกลัวว่าจะโดนสงสัย
“ไม่ก็กำลังเอากับน้องตัวเองอยู่”
“ไอ้เหี้ย!”
คำพูดส่งเดชนั้นแม้แต่ฉันที่ได้ยินยังตกใจ
“กูได้ยินมาว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน”
“จริงเหรอวะ”
“เออดิไปเถอะ”
เสียงฝีเท้าเงียบหายไป ทว่า... บรรยากาศภายในห้องกลับเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก สายตาเหี้ยมเกรียมตวัดลงมองที่ฉัน
“ไอ้พวกระยำ!”
ฉันกลั้นหายใจเฮือก รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่กำลังจะมาเยือน กรีดร้องลั่นในใจ
ไม่!
พริบตานั้นสะโพกหนาขยับกระชั้นถี่ กระแทกกระทั้นใส่ฉันรุนแรงยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดรวดร้าวกระหน่ำลงมาจนซอกซ้ำ เรียวขาฉันอ่อนเปลี้ย ส่ายหน้าที่โดนฝ่ามือหนาปิดเอาไว้ไปมา น้ำตาไหลพรากๆ
ฉันรู้เขาไม่ชอบใจที่ลูกน้องของฉันพูดแต่ทำไมต้องมาลงที่ฉัน ฉันผิดอะไร ฮือออ
ลมหายใจฉันหอบกระชั้นเมื่อแรงกระแทกของคาวะเร่งจังหวะรัวแรงขึ้นตามไฟอารมณ์ของเขา ความอึดอัดฝืดเคืองถูกแทนที่ด้วยเสียงชื้นแฉะอันเร่าร้อน ช่องทางด้านในที่โอบรัดแก่นกายคาวะเกร็งแน่น เขาดันตัวเข้ามาลึกสุดแล้วปลดปล่อยสายธารร้อนระอุในตัวฉันจนล้นปริ่ม
“อ๊า...”
เสียงครางหวามไหวหลุดลอยแผ่วหวิวอย่างอดใจไม่ไหวยามที่คาวะถอนแก่นกายพร้อมกับของเหลวที่ไหลย้อนออกมา
ฉันนั่งกอดเข่าน้ำตาซึมอยู่ในโรงฝึกดาบ ร่างกายบอบช้ำจนไม่อยากลุกเดิน คาวะกลืนกินศักดิ์ศรีฉันอย่างไม่ลืมหูลืมตา เขากอดฉัน สอดความเป็นชายเข้ามาในตัวฉัน แล้วกระแทกกระทั้นเหมือนฉันเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ จากนั้นก็ไล่ออกจากห้องอย่างไม่ไยดี
คิดถึงตรงนี้แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด
เนิ่นนานกว่าฉันจะทำใจเดินออกมาได้ เสื้อผ้าที่ใส่ดูไม่เรียบร้อยแต่ก็ไม่ถึงกับฉีกขาด ฉันพยายามจัดทุกอย่างให้เข้าที่ระหว่างเดินผ่านสายตาของลูกน้องและคนรับใช้เข้ามาในบ้าน
“ซายูริ”
ฉันเดินสวนกับอัยย์ที่บันไดขึ้นชั้นสอง มองหน้าเธออย่างรู้สึกทำใจยากนิดหนึ่งแต่ก็ฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ ยังไงฝากบอกแม่บ้านด้วยว่าไม่ต้องจัดโต๊ะเผื่อ”
“ซายูริ...”
อัยย์มองตามอย่างงุนงงก่อนจะคว้าท่อนแขน หยุดฉันที่กำลังจะเดินผ่านไปเอาไว้
“ทำไมตาแดงๆ ร้องไห้เหรอ ใครทำอะไรซายูริ”
“ปะเปล่า ไม่มี คือ... ฉันแค่ไปเยี่ยมคุณพ่อมาเมื่อเช้า แล้วท่านอาการไม่ดีขึ้นก็เลย...”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นไม่ได้ตั้งใจจะแสดงละครให้เนียนขนาดนี้แต่แค่ปริปากพูดยาวๆ น้ำตาก็เอ่อคลออย่างไม่รู้ตัว ขณะที่พล่ามเรื่องคุณพ่อในใจกลับนึกถึงแต่ร่องรอยของคาวะ ฉันอยากรีบอาบน้ำชะล้างความสกปรกนี้ออกไปเร็วๆ ยิ่งคิดถึงคราบเหนียวเนอะพวกนั้นหัวใจก็ยิ่งบีบรัดแน่น
ฉันหลบสายตาที่สับสนงุนงงและคล้ายจะเห็นใจของอัยย์ แกะมือเธอออกอย่างไม่ให้น่าเกลียดแล้วรีบตรงขึ้นห้อง ทันทีที่บานประตูปิดลง ร่างฉันก็รูดไถลลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง หลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจออกมา
ซูซาคุกรุป
คนเราไม่สามารถจมอยู่กับความสิ้นหวังได้ตลอดเวลา เมื่อขึ้นเช้าวันใหม่ก็เท่ากับว่าความทุกข์ในอดีตได้ผ่านพ้นไปแล้ว ...ฉันพยายามคิดแบบนั้น เริ่มต้นวันใหม่ด้วยจิตใจที่กล้าหาญขึ้น
ภายในบริษัทค่อนข้างเงียบเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ มีแค่พนักงานบางส่วนที่อยู่เวรกับหัวหน้าที่มาร่วมประชุมในวาระสำคัญนี้เท่านั้น
ครั้งแรกที่ฉันได้นั่งฟังรายงานจากทุกคนในฐานะประธานบริษัท เก้าอี้ตัวนี้ปกติจะมีร่างสูงแกร่งของคุณพ่อนั่งอยู่... มันคือที่นั่งของคุณพ่อและควรจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด ฉันไม่เคยปรารถนาตำแหน่งนี้ ไม่เลยสักครั้ง...
“ท่านซายูริ...”
เสียงทาโร่ที่ยื่นมากระซิบข้างๆ หลังรายงานเล่มสุดท้ายถูกอ่าน ทำให้ฉันรู้สึกตัว มองสบสายตาของทาโร่อย่างรู้สึกผิดที่เผลอใจลอย หันไปมองทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขอบคุณที่ร่วมกันทำงานหนักถึงแม้จะเกิดเรื่องกับคุณพ่อ และขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉัน ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีอย่างที่เคยทำมาตลอด ก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายได้
ยกเว้นคนที่ดูแลไนต์คลับที่คาบูกิโจซึ่งฉันบอกให้อยู่ก่อน
“ท่านซายูริมีอะไรอยากคุยกับผมครับ”
“แค่อยากรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ไนต์คลับ”
“ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ จู่ๆ ตำรวจก็บุกมา ผมต้องขอโทษด้วยที่ดึงท่านซายูริมาเกี่ยวข้อง” ลูกน้องคนนั้นพูดพร้อมกับก้มศีรษะขอโทษด้วยท่าทีร้อนรน สังเกตได้จากสีหน้าเครียดจัดตอนที่ถูกฉันบอกให้อยู่ต่อก็พอเดาได้ว่าต้องกำลังคิดไม่ดีอยู่แน่ๆ ทำอย่างกับว่าฉันจะจับเชือดคอตอนนี้งั้นล่ะ
“...แต่เพราะผมนึกถึงใครไม่ออกจริงๆ ท่านไคดะก็อาการโคม่า ส่วนคุณดาไซก็เข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน คุณทาโร่ก็ยังอยู่ที่โยโกฮาม่า ที่เหลือก็มีแค่คุณจินที่ผมนึกออก แต่... ผมไม่คิดว่าคุณจินจะพาท่านซายูริมาด้วย”
หมอนั่นละล่ำละลั่กสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา ฉันกับทาโร่มองหน้ากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าเขาคงจะไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นั่นแหละ
“แล้ว... รู้จักผู้หญิงที่ชื่อริเอะหรือเปล่า”
“ริเอะ? เธอคือใครหรือครับ”
คนดูแลไนต์คลับทำหน้าสับสน มองฉันกับทาโร่สลับกันด้วยสายตาสงสัย
“ไม่เคยได้ยินเหรอ” ทาโร่ถามย้ำ พลางหรี่ตาลงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“ไม่ครับ”
“แล้วมีใครบ้างที่รู้ว่าท่านซายูริจะไปไนต์คลับ”
“อย่างที่ผมบอก แม้แต่ผมก็ไม่คิดว่าคุณจินจะพาท่านซายูริมาด้วย ส่วนเรื่องที่ผมโทรหาคุณจินก็คงจะมีแต่พนักงานในไนต์คลับนั่นแหละครับที่รู้ คนของเราทั้งนั้น”
คนดูแลไนต์คลับพูดด้วยสีหน้าสัตย์ซื่อแต่กลับมีนัยบางอย่าง ฉันไม่อยากคิดแบบนั้นแต่ก็ปฏิเสธข้อสงสัยที่ผุดขึ้นในใจไม่ได้
จินเป็นคนเดียวที่รู้ว่าฉันจะไปไนต์คลับ...
“ท่านซายูริคิดอะไรอยู่หรือครับ”
เสียงเอ่ยขึ้นหลังจากคนดูแลไนต์คลับลุกออกไป ภายในห้องประชุมเหลือแค่ทาโร่และลูกน้องที่ติดตามฉันมาจากบ้านไม่กี่คน
“เปล่า... แล้วเรื่องริเอะที่ให้ไปสืบล่ะคืบหน้ายังไงบ้าง”
“ครับ นี่คือประวัติริเอะที่ผมค้นมาได้”
ทาโร่หยิบแฟ้มที่อยู่ล่างสุดส่งให้ฉัน
“ท่านซายูริดูเองเถอะครับ ประวัติเลขาคนใหม่ของคุณซาโต้ขาวสะอาดมากจนไม่น่าเชื่อ แต่... นอกจากประวัติส่วนตัวที่สืบค้นได้ตามทะเบียนราษฎรแล้วก็มีประวัติด้านมืดที่น่าสนใจไม่น้อย”
“หมายความว่ายังไง”
ทาโร่ไม่ตอบ เขาส่งสายตาให้ฉันเปิดแฟ้มดู... ฉันหลุบตาอ่านประวัติส่วนตัวและผลการเรียนของริเอะคร่าวๆ เปิดผ่านแต่ละหน้าอย่างไม่ใส่ใจกระทั่งหน้าสุดท้าย
แววตาฉันกระตุกวูบ ‘ริเอะ ฉายานักฆ่าล่องหน’
“ฉายานี่คืออะไร”
ฉันหลุบมองรายชื่อเหยื่อที่ยัยนั่นเคยจัดการหัวใจสั่น ส่วนมากเป็นพวกนักการเมือง เจ้าของธุรกิจ หรือแม้กระทั่งคนในเครื่องแบบยศใหญ่ๆ ที่แต่ละคนล้วนเข้าถึงตัวยากทั้งนั้น ฉันเคยเห็นข่าวการตายของคนที่อยู่ในลิสรายชื่อเหยื่อเพราะแทบทุกคนเป็นคนดังในวงสังคม ทั้งหมดตายเพราะอุบัติเหตุ ไม่รถชน ตกตึก ปีนผาแล้วพลาด ก็โดนหิมะถล่ม...
ทุกเคสที่ออกข่าวล้วนรายงานว่าเป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้า แม้จะรู้สึกว่าเป็นการจากไปอย่างกะทันหันแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชี้นำว่าถูกฆาตกรรม
“ทาโร่รู้ได้ยังไง” ฉันสับสนกับข้อมูลในหน้าสุดท้ายจนแทบไม่อยากเชื่อและเพ่งสายตาสงสัยมาที่ทาโร่แทน
“หึ อย่าดูถูกคลังข้อมูลของกลุ่มสิครับ”
“ถ้าอย่างงั้นก็ต้องรู้สิว่าใครปองร้ายฉัน”
“โธ่ ท่านซายูริ ถ้าผมรู้ขนาดนั้นคงไม่มานั่งสืบข้อมูลริเอะให้เปลืองแรงหรอกครับ แต่ผมอยากรู้เรื่องนี้มาก ทำไมริเอะต้องมาเป็นเลขาให้กับคุณซาโต้”
“....”