Love is cat's 5

2546 Words
Love is cat's 5 วันนี้มีถ่ายคลิปช่วงเช้าฉันเลยตัดสินใจออกไปซื้อของเตรียมทำอาหารซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเมนูง่าย ๆ และทำได้เยอะเพราะตั้งใจจะเอาไปให้น้องชายและทีมของน้องชายสำหรับมื้อเย็น ซึ่งเมนูที่จะทำวันนี้คือข้าวหน้าไก่เทริยากิ เกี๊ยวซ่า และทำซูชิโรล ที่ทำเยอะเพราะจะได้มีคลิปตัดด้วยนั่นแหละ ระหว่างที่เดินซื้อของฉันก็หยิบจับสิ่งของด้วยความคุ้นชิน ที่ทำอาหารได้เป็นเพราะก่อนที่แม่กับพ่อจะเลิกกันพ่อสอนฉันไว้หลายอย่าง อีกทั้งยังต้องทำอาหารให้ฌอนกินทุกวันฉันเลยเหมือนได้ฝึกฝีมือตัวเองอยู่เรื่อยมา ตอนนี้แม้จะไม่ได้ติดต่อพ่อกับแม่แล้วแต่ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะมีความสุขกับครอบครัวของพวกเขา ก็แน่ล่ะพวกเขามีลูกกันใหม่แล้วเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแล้วล่ะ ทั้งพ่อและแม่เลย เดินซื้อของเสร็จก็เข็นรถเข็นไปหยุดที่ร้านกาแฟ ฉันจอดรถเข็นไว้ที่บริเวณหน้าร้านก่อนจะเดินเข้าไปสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองสักแก้ว ง่วงมากอยากได้อเมริกาโน่สักแก้วน่าจะดี “สวัสดีค่ะรับอะไรดีคะ” พนักงานของร้านเอ่ยทักฉันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “อเมริกาโน่เย็นกลับบ้านค่ะ” ฉันเองก็สั่งอย่างเร็วเช่นเดียวกัน “รับขนมเพิ่มด้วยไหมคะ” “ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เอ่ยปฏิเสธเพราะตั้งใจจะซื้อเพียงแค่กาแฟเท่านั้น “ทั้งหมดหกสิบบาทค่ะ รอเครื่องดื่มสักครู่นะคะ” ฉันเดินหลบมานั่งที่เก้าอี้ว่างไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ร้านมากนักเพื่อรอฟังออเดอร์ของคิวตัวเอง ระหว่างที่นั่งรอสายตาเจ้ากรรมกลับสบตากับคนคนหนึ่งที่เหมือนจะจ้องมองมาทางฉันก่อนอยู่แล้ว คนนั้นฉันจำได้เพราะเขาคือหมอที่ดูแลลูก ๆ ของฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน อีกฝ่ายพยักหน้าให้น้อย ๆ ฉันจึงส่งยิ้มแล้วพยักหน้ากลับไป ไม่ได้ทักทายอะไรมากกว่านั้น “บัตรคิวที่แปดสิบเอ็ดค่ะ” อา คิวฉันแล้วสินะ ได้ยินแบบนั้นก็รีบเดินไปรับออเดอร์และเดินออกจากร้านทันที ฉันเข็นรถเข็นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือแก้วเครื่องดื่มขึ้นดื่มเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง รถเข็นถูกเข็นมาหยุดที่ท้ายรถ ก่อนจะทยอยย้ายของไปเก็บที่ท้ายรถตัวเองเตรียมกลับบ้าน ตอนนี้จะสิบโมงแล้วล่ะเดี๋ยวต้องเริ่มเตรียมสถานที่ถ่ายคลิปแล้วด้วย ต้องทำเวลาแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันการ จังหวะที่กำลังขับรถออกจากลานจอดก็เจอกับร่างสูงสมส่วนยืนมองรถฉันอยู่ คุณหมอคนนั้นนั่นแหละ ฉันไม่ได้ใส่ใจมากนักและตั้งหน้าตั้งตาขับรถกลับบ้านเพียงเท่านั้น อุปกรณ์ที่จะใช้ถูกยกออกมาอย่างคล่องแคล่ว รวมถึงการหยิบจับวัตถุดิบต่าง ๆ ไปล้างทำความสะอาด หั่นเตรียมไว้ และทุกการกระทำนั้นถูกกล้องถ่ายภาพเก็บไว้แล้วตามมุมต่าง ๆ ซึ่งกล้องตัวแรกจะตั้งให้โฟกัสที่อ่างล้างมือ คอยจับภาพที่หยิบจับวัตถุดิบไปล้างทำความสะอาด กล้องตัวที่สองถูกเซตไว้ที่เคาน์เตอร์กลางห้องครัวเพื่อจับภาพการหั่นการเตรียมของ รวมถึงการจัดจานหลังจากทำอาหารเสร็จ ส่วนกล้องตัวที่สามจะคอยจับภาพหน้าเตาขณะที่ทำอาหาร หลังจากนำไก่ไปล้างทำความสะอาดพักไว้ให้สะเด็ดน้ำฉันก็นำไก่มาหมักซอส เตรียมต้นหอมซอยไว้ ก่อนจะทำเมนูที่ใช้ไก่ ฉันก็ทอดเกี๊ยวซ่าเตรียมไว้รอจัดใส่กล่อง เริ่มย่างไก่หมักบนกระทะสำหรับย่าง เสียงซู่ซ่าเมื่อไก่โดนกระทะร้อน ๆ ถูกถ่ายเก็บเสียงไว้หมดแล้ว ไก่หลายสิบชิ้นถูกย่างจนสุกเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตักข้าวใส่กล่องอาหาร ไก่ถูกสับเป็นชิ้นแนวยาววางโปะลงบนข้าว ตามด้วยซอสต้นหอมซอยและงาขาว ฉันทำตัวอย่างเพียงแต่สามกล่องเท่านั้น ส่วนที่เหลือใกล้ถึงเวลาค่อยจัดใส่กล่องเพราะอยากอุ่นไก่ให้ร้อนตอนที่กินจะได้รู้สึกอร่อย เสร็จจากไก่ก็เริ่มทำซูชิทันที ตลอดทั้งบ่ายฉันเตรียมอาหารอย่างมีความสุข เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างก็กดหยุดการบันทึกวิดีโอ ตรวจไฟล์เล็กน้อยก็พบว่าไม่มีปัญหาสักไฟล์ ฉันมีเวลานั่งพักเกือบสามชั่วโมงจึงเลือกที่จะไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดและเล่นกับลูก ๆ ทั้งสองตัว แต่จะเรียกว่าเล่นคงไม่ได้เพราะวิปครีมนอนแผ่โชว์พุงอยู่บนเบาะมุมห้อง ส่วนไวท์ช็อกนอนขดอยู่ในบ้านแมว ฉันถ่ายรูปเด็ก ๆ ก่อนจะอัปโหลดลงในอินสตราแกรมของตัวเองที่มีคนติดตามอยู่พอสมควร ส่วนช่องที่อัปโหลดคลิปมีคนติดตามเก้าล้านนิด ๆ แล้วล่ะ ฉันดีใจมากไม่คิดว่าทุกคนจะชอบคลิปที่ฉันทำมากขนาดนี้และในคลิปไม่มีเสียงพูดหรือมีหน้าฉันเลย จะมีเพียงแค่มือเท่านั้นที่ถูกถ่ายไว้ แต่พอมีผู้ติดตามครบหนึ่งล้านแฟนคลับก็จะขอให้ถ่ายคลิปแบบเห็นหน้าหน่อยหรือทำวร็อกที่มีเสียงพูดหน่อยอะไรแบบนั้น แต่ถ้าเห็นหน้าตานี่ตัดไปได้เลยเพราะฉันเขินและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยสักนิด ส่วนวร็อกฉันว่าไม่ไหวค่ะเขินเหมือนเดิมเลยมีคลิปขอบคุณที่มีเสียงพูดตัวเองแต่กล้องจับภาพแมวดื้อทั้งสองตัวของฉันแทน แต่แค่นั้นทุกคนก็ดีใจมาก ๆ แล้วล่ะ “ทำไมซึม ๆ นะ” พึมพำกับตัวเองเสียงเบาด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าไวท์ช็อกนอนอย่างเดียวไม่ตื่นขึ้นมาเล่นหรืออ้อนทั้งที่เวลาปกติจะชอบเข้ามาอ้อนขอขึ้นบนโซฟาหากเห็นฉันมานั่งที่นี่ เดินเข้าไปส่องและลูบเบา ๆ ไวท์ช็อกก็ลืมตาตื่นก่อนจะหลับไป “อันนี้ขี้เกียจหรือยังไงลูก” ถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้ไวท์ช็อกนอนต่อ ฉันเดินไปล้างมือเตรียมของใส่กระเป๋าเก็บความร้อน จากนั้นก็ปิดประตูบ้านเพื่อนำอาหารที่ทำแล้วไปให้ฌอน แต่วันนี้ฉันรู้สึกห่วงแมวเลยให้น้องลงมาเอาที่ลานจอดรถหน้าบริษัทก่อนจะรีบขอตัวกลับบ้านไปดูแมว ฌอนที่รู้ว่าแมวซึม ๆ ก็ห่วงไม่ต่างจากฉันมากนัก กลายเป็นว่าเราสองพี่น้องไม่ได้คุยอะไรกันมากเพราะรีบกลับมาดูแมวที่บ้าน ตลอดระยะเวลาตอนเย็นฉันเฝ้าดูอาการทั้งไวท์ช็อกและวิปครีม ทั้งคู่ไม่มีอาการผิดปกติอะไรกินข้าวเสร็จก็ชวนกันเดินเล่นไปทั่วบ้าน เมื่อคิดว่าลูกไม่เป็นอะไรแล้วเลยตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมจะนอนพัก วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากจนไม่มีแรงทำอะไรต่อแล้วล่ะ สามทุ่มครึ่ง มีเพียงวิปครีมขึ้นมาหาที่ห้องนนอน ปกติจะต้องมีไวท์ช็อกมาด้วย เพราะความผิดปกติที่เกิดขึ้นฉันจึงตัดสินใจเดินลงจากชั้นสองเพื่อหาไวท์ช็อก แล้วก็ต้องใจเสียเมื่อเห็นว่าไวท์ช็อกขดตัวหลับอยู่ในกล่องพัสดุเล็ก ๆ ฉันเดินไปดูที่กระบะทรายเพื่อสำรวจความผิดปกติ แล้วก็เจอกับสิ่งผิดปกติเข้าจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไวท์ช็อกหรือวิปครีมกันแน่ “อา ไวท์ช็อกเองเหรอลูก” หลังจากที่นั่งเฝ้าลูกเกือบสามสิบนาทีก็เห็นว่าไวท์ช็อกป่วยจริง ๆ ฉันรีบเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์บนห้องนอนลงมา รวมถึงหยิบกุญแจรถเตรียมไว้ กระเป๋าแมวถูกหยิบขึ้นมาหลังจากรอให้ไวท์ช็อกขดตัวหลับฉันก็ค่อย ๆ อุ้มน้องใส่กระเป๋าเตรียมพาออกไปหาโรงพยาบาล “วิปครีมแม่พาพี่ไวท์ไปหาหมอนะคะ หนูเล่นรอแม่ที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวแม่กับพี่ไวท์กลับมาค่ะ” เอ่ยบอกวิปครีมที่มองฉันหยิบนู่นจับนี่ตาแป๋ว เปิดแอร์ไว้ที่ห้องให้วิปครีมเสร็จก็เดินอุ้มกระเป๋าออกจากบ้าน ฉันขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดและแน่นอนว่าเคยสอบถามมาแล้วว่าเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้สี่ทุ่มนิด ๆ แล้วด้วยหวังว่าจะมีหมออยู่ช่วงกลางคืนแล้วกันนะ ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาลสัตว์ถูกเปิดไฟจนสว่าง ทำให้บริเวณด้านหน้าที่เป็นที่จอดรถไม่ได้รู้สึกน่ากลัว ฉันรีบลงจากรถพร้อมกับไวท์ช็อกก่อนจะล็อกรถไว้ด้วยความเร่งรีบ “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” เสียงพนักงานดังจากเคาน์เตอร์คิดเงิน พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ลุกขึ้นยืนเพื่อมองฉัน “น้องไม่สบายค่ะ ไม่มั่นใจว่ามีไข้ไหม แต่น้องถ่ายเป็นมูกมีเลือดด้วยค่ะ วันนี้ก็ซึมไม่ยอมกินข้าว” ด้วยความกังวลใจฉันรีบเล่าอาการของไวท์ช็อกให้พนักงานฟังทันที “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวตามหมอให้ค่ะ...คุณหมอปริญมีเคสค่ะ” พนักงานที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบที่หูเอ่ยบอกใครสักคนที่คาดว่าน่าจะอยู่ทางด้านหลังฉัน “หมอครัชไปไหน?” “ออกไปซื้อกาแฟค่ะน่าจะกำลังกลับเข้ามา” พนักงานเอ่ยบอกคุณหมอ พอหันกลับไปมองด้านหลังก็พบว่าเป็นคุณหมอคนนั้นที่ดูแลเด็ก ๆ ตอนที่มาครั้งก่อน “อ้าว เด็ก ๆ ไม่สบายเหรอครับ?” คุณหมอเอ่ยถามเมื่อมีโอกาสได้มองหน้าฉันชัด ๆ “ใช่ค่ะ น้องถ่ายเป็นมูกเลือด ซึมแล้วก็ไม่กินข้าวเลยค่ะ ไม่รู้มีไข้ด้วยหรือเปล่า” “เดี๋ยวผมจะตรวจดูให้ ไม่ต้องกังวลนะครับ” คุณหมอเดินเข้ามาใกล้อุ้มกระเป๋าที่มีไวท์ช็อกอยู่เข้าไปโซนห้องรักษาส่วนฉันก็ต้องให้ข้อมูลไวท์ช็อกเบื้องต้น เพราะครั้งก่อนเคยมาแล้วเลยมีประวัติเด็ก ๆ แล้วตอนนี้เลยแจ้งอาการและนั่งรอ ทำได้แต่รอจริง ๆ ฉันนั่งบีบมือตัวเองแน่นที่โซฟาด้านหน้า กังวลไปสารพัดจนพาลเครียดแล้วร้องไห้อย่างไม่สบายใจ “คุณหมอครัชกลับมาแล้วเหรอคะ” “ครับ มีเคสเหรอ?” “ใช่ค่ะ หมอปริญรับแทนค่ะ” “มันด่าผมแน่ รีบไปช่วยมันก่อน ดูแลลูกค้าด้วยนะคุณกะรัตคนนี้น่ะ...” “ค่ะคุณหมอ” แม้กระทั่งเสียงพูดคุยกันที่ดังอยู่รอบข้างก็ไม่ได้ดึงความสนใจไปจากฉันได้เลยสักนิด ระหว่างนั่งรออยู่นั้นก็มีทิชชูยื่นมาตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นพี่พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก่อนหน้านี้ “คุณหมอปริญเก่งมากเลยค่ะ พี่เชื่อว่าคุณหมอจะต้องรักษาน้องไวท์ช็อกได้อย่างแน่นอน” รอยยิ้มพร้อมกับกำลังใจถูกส่งมาจากคนตรงหน้า ฉันส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณทั้งยังค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปรับทิชชูนั้นมาซับน้ำตา “ขอบคุณค่ะ” “ยินดีมาก ๆ เลยค่ะ รับเครื่องดื่มสักแก้วไหมคะ?” “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันกินอะไรไม่ลงหรอก แล้วก็นะ เพิ่งรู้ว่าที่นี่ดูแลลูกค้าดีขนาดนี้เลยเหรอ หรือยังไงฉันสงสัยแล้วจริง ๆ นั่งรออยู่นานคนที่พาไวท์ช็อกเข้าไปตรวจก็เดินออกมาหยุดที่ตรงหน้าฉัน ด้วยความกังวลใจเลยทำให้รีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยถามคนตรงหน้าไปแทบจะทันที “ไวท์ น้อง น้องเป็นยังไงบ้างคะ” “น้องปลอดภัยแล้วครับ หมอตรวจดูแล้วไม่ได้เป็นโรคลำไส้หรือปรสิตแต่ต้องรอดูอาการก่อนว่าน้องป่วยจากอะไร หมอจะให้น้องอยู่ที่นี่รอดูอาการสักคืนหรือสองคืนนะครับ” คุณหมอเอ่ยแจ้งก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้ฉันเดินตามเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง ที่อยู่โซนด้านหลัง ฉันเองก็เดินตามอีกฝ่ายไปอย่างระมัดระวังไม่น้อยเพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่คุ้นชินเท่าไหร่ “ตรวจเสร็จน้องน่าจะเพลียหมอเลยให้นอนพักก่อน อาการไม่ต้องถึงให้น้ำเกลือนะครับน้องจะเครียดเปล่า ๆ” คุณหมออธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น กระทั่งหยุดยืนอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง เขาถึงได้เปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอเข้ากับไวท์ช็อกที่นอนขดอยู่บนเบาะ ใกล้ ๆ กันนั้นมีผู้ชายที่สวมเสื้อกาวน์ยืนเขียนอะไรบางอย่างอยู่ “ตื่นมาบ้างไหม?” คุณหมอปริญเอ่ยถามคนที่เขียนเอกสารเพิ่งเสร็จ “ยัง หลับลึกเลย คุณแม่น้องไวท์ช็อกจะให้น้องอยู่ห้องรวมถึงห้องพิเศษครับ” “ห้องพิเศษค่ะ คือน้องค่อนข้างหงุดหงิดง่าย” แค่อยู่กับน้องสาวเขาอย่างวิปครีมยังมีแวะไปกัดกันเลยค่ะ อยู่กับตัวอื่นไม่ได้หรอก “ได้ครับเดี๋ยวหมอเปิดห้องให้น้องนะครับ” “ขอบคุณค่ะ” “เข้าไปดูน้องได้นะครับ” คุณหมอปริญที่พาฉันเดินเข้ามากระซิบบอกเสียงเบา ฉันจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ไวท์ช็อกที่ยังคงหลับอยู่ ยกมือลูบที่ศีรษะเล็กนั่นอย่างเบามือกลัวว่าหากลูบแรงแล้วลูกจะเจ็บหรือตื่นขึ้นมาได้ “เจ็บไหมลูก ขอโทษนะแม่ไม่ได้สังเกตหนูเลยทั้งวัน” เอ่ยบอกไวท์ช็อกด้วยความรู้สึกเสียใจ “เดี๋ยวหนูต้องอยู่ที่นี่กับคุณหมอนะ พรุ่งนี้เช้าแม่จะรีบมาหาพี่ไวท์นะคะ” แมวน้อยลืมตาขึ้นมองก่อนจะกะพริบตาให้สองสามทีแล้วหลับต่อ ขอบตาฉันร้อนผ่าวก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ “น้องไม่เป็นอะไรแล้วครับ อย่ากังวลเลย ตอนนี้น่าจะเพลียเดี๋ยวเราให้น้องนอนพักก็จะอาการดีขึ้นแล้วครับ” คุณหมอปริญที่ยังอยู่ด้วยในห้องตรวจบอกกับฉันมาแบบนั้นทั้งยังยื่นทิชชูมาให้ฉันซับน้ำตาอีกด้วย วันนี้ฉันอ่อนแอจริง ๆ น่าอายชะมัด “ที่ ฮึก ที่นี่มีส่งรูปรายงานอาการน้องไหมคะ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเราไม่เคยห่างกันเลย” และนี่น้องยังป่วยหนักครั้งแรกด้วยแบบนี้ฉันไม่ไหวจริง ๆ “เพิ่มเพื่อนหมอในไลน์ก็ได้ เดี๋ยวหมอส่งให้จะได้อัปเดตอาการน้องให้ฟังด้วยเลย” ==== เอ๊ะ มีคนเนียนไหมให้ทาย เนียนเลยนะคุณหมอ เรื่องนี้ใน meb และ ปิ่นโต ลด 50% อยู่นะคะ ไปสอยกันได้นะคะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD