“เอาเถอะ ถ้าเจ้าทำอะไรไม่ดี ข้าไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
“ขอบคุณ”
เคอหลิ่งหลินได้ติดตามท่านหมอมู่มาที่บ้านสกุลเหวิน แต่นางติดตามท่านหมอในฐานะบ่าว นางจึงไม่ได้เข้าไปด้านใน ได้รอเพียงด้านนอก ทว่านางมีวิชาตัวเบาจึงแอบกระโดดไปยืนส่องดูบนกิ่งไม้ใหญ่ นางแค่อยากเห็นว่าเขาเป็นอย่างไร เจ็บป่วยเพียงใดกัน แม้นางจะไม่ถนัดเรื่องที่กุลสตรีพึ่งมี แต่ประสาทการรับรู้ว่ามีใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวนาง เคอหลิ่งหลินกระโดดหลบ นางไม่มีเจตนาทำร้ายใครจึงไม่ต่อสู้หรือโต้ตอบเพียงแค่ไหวตัวหลบการปะทะ กลายเป็นว่านางถูกต้อนให้เข้ามาในห้องโถงกลางของคฤหาสน์
“หยุดก่อน! นั่นแม่นางคนนั้นนี่!”
บุรุษร่างใหญ่ยักษ์หยุดการเคลื่อนไหวเพราะเสียงของแม่นมเหมย เคอหลิ่งหลินหันไปตามเสียงนั้นแล้วยิ้มออกมาเป็นหญิงที่นางเคยช่วยตามถุงเงินส่งคืนให้
“ท่านป้า”
“แม่นางมาทำอะไรถึงที่นี่”
“ข้า...ข้าติดตามท่านหมอมู่มาเจ้าค่ะ”
“โกหก! ถ้ามากับท่านหมอทำไมถึงทำลับๆ ล่อๆ เหมือนดูลาดเลา”
“ข้าไม่ได้มาดูลาดเลา ข้าแค่อยากเห็นว่าคุณชายไม่สบายเป็นยังไงบ้างก็เท่านั้นเอง”
“แม่นาง”
น้ำเสียงที่เรียกอย่างอ่อนโยนแฝงเมตตาทำให้สถานการณ์นิ่งสงบตามไปด้วย ดวงตาของเขาทอดมองมางทางหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าเคอหลิ่งหลิน”
นางแนะนำตัวแก้เขิน ปกตินางนิ่งสงบจนใครๆ หวาดกลัว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางกลับกลายเป็นคนพูดจาเสียงอ่อนไปได้อย่างไรไม่รู้
“แม่นางเคอ”
“เรียกหลิ่งหลินก็ได้” นางตีสนิทกับเขาดื้อๆ
ชายหนุ่มพยักหน้ารับและหันไปพูดกับผู้ติดตาม “แม่นางผู้นี้ช่วยจับขโมยวิ่งราวถุงเงินให้แม่นมเหมย”
“อ้อ!”
ปากพูดเหมือนยอมรับ แต่สายตาจ้องมองแบบดูแคลน เอาเถอะ นางชินแล้วล่ะ
“ข้าได้ยินว่าท่านไม่สบายจึงขอติดตามท่านหมอมู่มาด้วย”
“เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือ แม่นางช่างมีจิตใจอารีนอกจากจะช่วยแม่นมของข้าแล้วยังเป็นห่วงเป็นใยข้าด้วย”
จิตใจอารี? หญิงสาวทำตาโต เกิดมาเพิ่งเคยมีใครพูดแบบนี้กับนางเป็นคนแรก ที่ผ่านมาได้ยินแต่ว่านางโหดเหี้ยมเสียมากกว่า
“ข้าจำได้ว่าติดค้างเลี้ยงน้ำชากับแม่นาง”
“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกไม้โบกมือไปมา มือไม้เริ่มไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน
“ข้ายังต้องรบกวนท่านหมอมู่รักษาดูอาการและพักฟื้นที่นี่หลายวัน ถ้าอย่างไร แม่นางผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ”
“จริงเหรอ ข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ”
บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบแต่พยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ยังดีที่นางสำรวมกิริยาแล้วเหลือบตามองท่านหมอมู่เหมือนจะขอโทษอยู่ในที ท่านหมอมู่มองหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ดีแล้วที่ลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าอย่างไรได้ ได้ยินว่านางเป็นเด็กกำพร้า คงไม่มีใครบอกนางเรื่องกิริยาที่ควรหรือไม่ควรต่อหน้าบุรุษนัก
“วันนี้ข้ามารบกวนท่านแล้ว วันหน้าข้าจะมาใหม่”
“ฮืม...”
นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคอหลิ่งหลินมาชะเง้อมองบุรุษหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพเจ้าผู้นั้นมาตลอดสองปี
เมื่อไหร่ที่เขามาพักรักษาตัวที่นี่ นางก็โผล่หน้ามาทักทาย โดยที่ทุกคนรู้เพียงว่านางเป็นเคอหลิ่งหลิน ไม่ใช่จ้าวหลิ่งหลิน ลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว.
................
ร่างเพรียวกระโดดมายืนอยู่แนวรั้วก่อนที่ท่านหมอมู่จะมาถึงประตูบ้านตระกูลเหวิน ขณะจ้องมองร่างของท่านหมอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ หางตาก็รู้สึกได้ถึงการมาของใครบางคน นางกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันไปมองแล้วยิ้มทักทาย
“จะมาห้ามข้าเหรอ วันนี้ข้ามากับท่านหมอมู่จริงๆ นะ” เคอหลิ่งหลินเอ่ยทักผู้ติดตามของคุณชายเฉิน เขามักเป็นดั่งเงาคอยคุ้มครองผู้เป็นนายเสมอ
“สองปีมานี่ข้าห้ามเจ้าสำเร็จเรอะ”
น้ำเสียงเบื่อหน่ายของต้าซื่อ เขาเองก็ชินกับนางแล้ว แม้ผู้เป็นนายจะอนุญาตให้นางเข้าใกล้ แต่เขาก็ต้องคอยระวังทุกคนเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ละเลยมิได้ นายของเขารูปร่างสง่างามซ้ำหน้าตาหล่อเหลาหมดจด ย่างกรายไปทางใดก็มีสตรีเหลียวมองจนลืมรักษากิริยาไปสิ้น ต้าซื่อไม่แปลกใจนักที่หญิงชาวบ้านผู้นี้จะมาแอบชะเง้อมองนายของเขา ทว่าสิ่งที่เขากังวลคือไม่รู้ประวัติภูมิหลังของนาง นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่ติดตัวแต่มีวรยุทธที่จะประมาทมิได้ แม้ลองสืบดูก็รู้เพียงว่าอยู่ในจวนแม่ทัพจ้าวเท่านั้น
“ท่านคงไม่ได้มาดักรอข้าหรอกนะ”
“เป็นเช่นที่เจ้าพูดนั้นแหละ”
“มีเรื่องอันใดรึ” คราวนี้เป็นหลิ่งหลินที่ประหลาดใจ นางเข้าใจหน้าที่ของต้าซื่อดีว่าต้องดูแลอารักขาผู้เป็นนาย เขาจะรังเกียจหรือกีดกันนางก็ไม่แปลกนัก แต่วันนี้เขาพูดดีกับนางและไม่ไล่นางราวกับนางเป็นแมวจรที่มาสร้างความสกปรกวุ่นวายให้เจ้าของบ้าน
“คุณชายไม่สบายมาก ท่านสั่งไว้ถ้าเจอเจ้าให้ข้าพาเจ้าเข้าไปพบ”
“อะไรนะ” เคอหลิ่งหลินสะดุ้งเฮือก ร่างกายอ่อนแอของเขานั้น เธอรับรู้จากปากท่านหมอมู่ แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาอะไรนัก “ท่านว่าอะไร คุณชายเฉินไม่สบายหนักรึ”
“มาเถิด คุณชายสั่งให้ข้าพาเจ้าเข้าไปทางประตู”
นายของเขาเป็นห่วงกลัวว่านางจะกระโดดเข้าทางหน้าต่างแล้วได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเขาไม่เห็นว่าลิงตนนี้หวาดกลัวอะไรกับการปีนป่ายต้นไม้หรือหลังคาบ้านคน
เคอหลิ่งหลินเหินลงจากแนวรั้วและเดินตามแผ่นหลังต้าซื่อเข้ามาด้านใน นางหยุดรออย่างกระวนกระวายใจ รู้ว่าด้านในห้องนั้นคือท่านหมอมู่กำลังดูอาการคุณชายเฉินอยู่ หัวใจนางรุ่มร้อนด้วยความกังวลแต่ยังสะกดให้ตนเองยืนนิ่งอยู่ได้ ตลอดสองปีที่ผ่านมา นางติดตามแม่ทัพจ้าวสู่ชายแดนอยู่หลายครั้ง นางต้องเดินทางล่วงหน้าสำรวจเส้นทางทำแผนที่และรีบกลับมารายงานแม่ทัพจ้าว
แม้จะเป็นหญิงแต่นางเติบโตในหุบเขาและมีบิดาเป็นโจรป่า วิชาความรู้การแกะรอยนั้น นางได้รับมาจากบิดาเต็มเปี่ยม ในระยะหลังท่านแม่ทัพให้จ้าวจิ่นสือร่วมติดตามออกชายแดน นางยิ่งต้องคอยดูแลจ้าวจิ่นสือมากยิ่งขึ้น การพูดคุยเล่นหัวจะเป็นเพียงแค่ที่อยู่กันตามลำพังหรือไม่ก็กับแม่ทัพและฮูหยินเท่านั้น ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางรู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะใด และนางบอกคนอื่นเสมอว่าหากใครต้องการพบนาง นางจะอยู่ที่คอกม้าของจวนแม่ทัพ
ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญความเป็นและความตาย นางมักคิดถึงเขา รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่มองนาง ทำให้นางรู้ว่านางต้องกลับมาพบเขาให้ได้ แม้ว่า...นางจะไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเขาก็ตาม
“แม่นางเคอ” น้ำเสียงของแม่นมเหมยทำให้หญิงสาวได้สติ นางยิ้มเพียงเล็กน้อย เห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้เข้าใจว่าต้าซื่อไม่ได้ล้อนางเล่น
“คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ครั้งที่เจอกันก็ราวครึ่งปีก่อน นางติดภารกิจสำรวจเส้นทางกว่าจะเสร็จจากชายแดนกลับมา ก็ได้ยินว่าคุณชายกลับเมืองหลวงไปแล้ว
แม่นมเหมยเดินมาจับมือของเคอหลิ่งหลิน นางพบเจอสตรีมากมายที่ชอบพอคุณชายของนาง ทว่ากับหญิงสาวคนนี้แม้กิริยามารยาทจะกระโดกกระเดกไปบ้าง หน้าตาอาจไม่หวานหยดย้อยเหมือนสตรีในเมืองหลวง แต่เรื่องความจริงใจแล้ว นางมีเต็มเปี่ยมจนมากล้น และนางไม่มีเจตนาร้ายกับคุณชายของนาง ระยะเวลาที่ผ่านมา นางไม่ได้สร้างความลำบากใจอันใด
ครู่ต่อมาประตูเปิดออก ท่านหมอมู่เดินออกมาและเหมือนจะรู้ เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้นางเข้าไปด้านใน หญิงสาวหันไปมองทุกคน เมื่อไม่มีใครห้ามอะไรนางก็เร่งเดินเร็วๆ เข้าไปทันที