บทที่8. เรื่องเล็กน้อย

1438 Words
“ขอบใจแม่นางมากนะ” นางยื่นมือมารับ   “ไม่เป็นไรๆ”  เคอหลิ่งหลินหัวเราะปากกว้างแล้วยกหลังมือเช็ดเหนื่อย  นางไม่ได้เหนื่อยเพราะสู้กับเจ้าโจรกระจอก แต่เพลียที่ซ้อมหมัดมวยกับพวกทหารต่างหาก แต่สายตาของนางเหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อที่หลุดรุ่ย นางยกแขนขึ้นระดับสายตาแล้วหัวคิ้วก็ขมวดยุ่ง เอาแล้ว นางต้องโดนท่านแม่ดุแน่ๆ แม้นางออกจากบ้านจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาชุดเก่าๆ เพราะนางชอบเผลอชายผ้าไปเกี่ยวโน้น เกี่ยวนี่ตลอดจนชุนเอ๋อร์ต้องคอยลำบากซ่อมเสื้อผ้าให้เสมอ   “แย่จริง เสื้อของแม่นางขาด”     “เรื่องเล็กน้อย” ไม่หรอก มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนางไม่ชอบเย็บผ้า และนางเกรงใจชุนเอ๋อร์ แม้ว่าชุนเอ๋อร์มีหน้าที่ดูแลนางก็เถอะ  อาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จึงทำให้ใบหน้าของนางขมวดคิ้วดูกังวลเกินเหตุ    “ให้พวกเราได้เลี้ยงน้ำชาแม่นางเป็นการตอบแทนดีไหม ระหว่างนั้นแม่นมเหมยจะช่วยซ่อมเสื้อที่ขาดให้เจ้าเอง”     น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นทำให้เคอหลิ่งหลินหันไปมอง  นางคุ้นชินกับเสียงผู้ชายที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ซ้ำยังไม่เคยเจอใครพูดจาน้ำเสียงน่าฟังอย่างนี้กับนางทำให้นางเผลอมองเขาอย่างตื่นตะลึง  แม้สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าอย่างดีและถือพัดในมือ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้ว่าเขาสูงกว่านางมาก แต่รูปร่างผอมบางและผิวขาวซีดไปเสียหน่อย    “ข้าบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร” นางโบกไม้โบกมือไปมา ดูสารรูปตัวเองซิ!  เป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังงดงามไม่ได้เพียงเสี้ยวของผู้ชายตรงหน้าเลย      “เอาเถิด...หากแม่นางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร พวกเราพักอยู่ที่บ้านสกุลเหวิน หากแม่นางอยากมาเยี่ยมเยือนในวันหน้าก็ได้”   “ได้ๆ วันนี้เย็นแล้ว ข้าต้องกลับก่อน ข้าต้องไปดูแลม้าในคอกด้วย”  พูดไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง  ไปบอกเขาทำไมว่านางต้องดูแลม้า! นางหัวเราะเขินๆ แล้วรีบเดินเร็วๆ แต่หัวใจของตนนั้นเต้นรัวราวกับกลองรบ ตั้งใจจะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามแนวหลังคาบ้านจะได้กลับจวนแม่ทัพจ้าวอย่างรวดเร็ว ทว่าเพราะตัวเองเสียสมาธิหัวใจสั่นไหวกับดวงตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้นางก้าวพลาดตกหลังคา ดีที่ไม่สูงนักและไหวตัวทันจึงม้วนตัวลงมายืนบนพื้นได้ “อะไรกัน เคอหลิ่งหลินที่วิชาตัวเบาเป็นเลิศถึงขั้นพลาดท่าตกหลังคาได้เนี้ยนะ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น” “จิ่นสือ!” นางหันมาทำเสียงดุใส่ชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่านางเพียงห้าเดือนเท่านั้น “ทำอะไรไม่สมกับเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย มิน่าท่านแม่ถึงได้บ่นกลัวจะไม่มีใครกล้ามาสามีให้เจ้า” จ้าวจิ่นสือพูดพลางส่ายหน้าระอาใจ “เจ้า! ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ! พูดจาให้มันดีๆ หน่อยเถอะ” “เหอะ! ถ้าข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้า ข้าก็ไม่ต้องเรียกเจ้าว่าพี่หรอกนะ”  “งั้นก็ยอมรับแล้วซิ ว่าข้าฉลาดกว่า” เคอหลิ่งหลินพูดพลางปัดเศษหญ้าตามเนื้อตัวออก “เหอะ!” จ้าวจิ่นสือทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจนัก  “อย่างเจ้าเขาเรียกเจ้าเล่ห์มิใช่ฉลาด” “เอาน่ายังไงข้าก็ได้เป็นพี่สาวเจ้าก็แล้วกัน” ปลายนิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย แต่นางชะงักมือไปเล็กน้อย ท่าทางของนางทำให้ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไปรึ” เขาเองก็ชินกับการตีสนิทเสมอตัวของนางแล้ว “เจ้านี่...สูงขึ้นหรือเปล่านะ” “แน่ล่ะ ข้าก็ต้องสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นธรรมดา” “หล่อเหลา? เจ้านี่กล้าประกาศว่าตัวเองหล่อเหลางั้นเหรอ”    เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะออกมา เติบโตมาพร้อมกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านป่านางติดตามท่านแม่ทัพออกศึก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือศึกษาตำราและฝึกฝนอยู่ที่วังหลวงเป็นส่วนใหญ่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกันไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งราวครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขาอายุครบสิบแปดก็มาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้บิดาของเขา “เจ้าอยู่กับพวกทหารจะรู้ได้ไงว่าบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นเช่นไร” ประโยคของจ้าวจิ่นสือทำให้เคอหลิ่งหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง  ใครว่าละ? นางเพิ่งเจอบุรุษผู้หล่อเหลาเข้าให้แล้ว เขาดูสุภาพนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกก็ยังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางเติบโตกับบิดาที่เป็นโจรภูเขาแล้วยังมาติดตามท่านแม่ทัพอีก นางพบสายตาเย็นชาหรือเคียดแค้นจนชาชินแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น มันทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ “หลิ่งหลิน” จ้าวจิ่นสือยื่นหน้าไปจองดูใบหน้าเหม่อลอยของหญิงสาวที่ยืนนิ่งไป “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูแปลกๆ หรือไม่สบาย” “ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางส่ายหน้าไปมา ทำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา “ผู้ชายที่เมืองหลวงนี่เขาชอบสตรีแบบใดรึ” “หือ?” จ้าวจิ่นสือผงะไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้จากปากของหลิ่งหลิน “เจ้าได้ยินที่ข้าถามแล้วก็ตอบมาซิ” นางทำเสียงเขียว “แบบไหนรึ?” จ้าวจิ่นสือเดินวนรอบเคอหลิ่งหลินแล้วไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ไม่ใช่แบบที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้แน่ๆ” “ข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ” นางทำหน้าง้ำแล้วก้มมองสภาพตัวเอง แม้ท่านแม่ทัพรับนางเป็นบุตรบุญธรรม ทว่านิสัยนางไม่เหมือนบรรดาคุณหนูสักเท่าไหร่ “ผู้หญิงในเมืองหลวงเขาทำอะไรกันบ้างล่ะ” “ก็เขียนภาพ เขียนโคลงกาพย์กลอน อ่านกวี เล่นดนตรี หรือปักผ้า” คราวนี้เคอหลิ่งหลินหน้าหมองลงไปอีก นางรู้ว่านางไม่ใช่คนสวยมากนัก นิสัยโผงผาง แถมมารยาทยังอ่อนด้อย แล้วที่จ้าวจิ่นสือพูดมาทั้งหมด นางทำได้ไม่เอาไหนเลยสักนิด  ให้นางไปฝึกเพลงดาบ หรือเลี้ยงม้ายังจะดีเสียกว่า เห็นท่ารักแรกของนางจะไม่ได้ผลิดอกออกผลแน่ “ของแบบนั้นมันสนุกตรงไหนกันนะ” นางพึมพำ “เจ้านี่ท่าจะป่วยจริงๆ”  “ไม่มีอะไรหรอกน่า” นางสะบัดหน้าแล้วเดินเข้าบ้าน แต่ในใจก็อดคิดใบหน้าของชายผู้นั้นไม่ได้ จะเป็นอะไรไปล่ะ เพลงกระบี่ที่ว่ายากนางยังฝึกได้ ถ้านางตั้งใจ นางต้องฝึกเป็นกุลสตรีแบบสาวในเมืองหลวงได้แน่ หญิงสาวที่ยืนอยู่บนหลังคามองการเคลื่อนไหวในบ้านสกุลเหวิน นางจำเหตุการณ์ที่เมื่อสองปีก่อนได้อย่างดี  นางแอบมาดูบุรุษในดวงใจอยู่บ่อยๆ รู้เพียงแค่ทุกคนเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ ท่าทางเขาเป็นกันเองไม่ถือตน  คุณชายเฉินสุขภาพไม่แข็งแรงนักมาที่นี่เพื่อพักฟื้นร่างกาย สามหรือสี่เดือนเขาจะมาที่นี่สักครั้ง ครั้งละห้าหรือสิบวัน และท่านหมอมู่จะมาถูกเชิญให้มาดูอาการคุณชายเฉิน นางจึงอาศัยความกล้าขอติดตามทางหมอมู่เข้ามาด้วย “ท่านหมอมู่ มือไม้ของท่านมีไว้รักษาผู้คน ให้ข้าเป็นบ่าวไพร่ถือของให้ท่านไปบ้านสกุลเหวินเถิดนะ...นะ” นางออดอ้อนท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของมู่ฟางเหนียง “ข้าไม่เคยมีบ่าวไพร่ ทำไมต้องให้เจ้ามาถือของให้ด้วยเล่า” ท่านหมอมู่ส่ายหน้าไปมา “ท่านพ่อให้พี่หลิ่งหลินไปช่วยเถอะเจ้าคะ” มู่ฟางเหนียงช่วยพูดอีกแรง “ใช่ๆ ให้ข้าไปช่วยเถอะนะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากเด็ดขาด” “เจ้านั้นแหละคือความลำบากของข้า” ท่านหมอมู่ตะคอกใส่ แต่เคอหลิ่งหลินไม่มีท่าทางกลัวเกรงสักนิด กลับหัวเราะปากกว้าง 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD