บทที่ 1
กลางสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสีสันอันงดงาม หญิงสาวนั่งอยู่บนม้านั่งไม้โบราณใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตานางทอดมองไปยังดอกไม้ที่บานสะพรั่งรอบตัว ลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ทำให้ปรอยผมที่หลุดออกมาจากหมวดผมที่เกล้าเอาไว้ลู่ไปตามสายลม สีหน้านางแฝงด้วยความเหงาและความคิดถึง นางยกมืออีกข้างขึ้นลูบไล้รอยแผลเป็นที่กลางผ่ามืออีกด้านที่ราวกับว่ากำลังดึงเอาความทรงจำเก่าๆ มาปลอบประโลมใจ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากยอดไม้เพิ่มความเงียบสงบให้กับบรรยากาศ แต่ภายในใจของนางกลับวุ่นวายไปด้วยความคิดคำนึงที่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร นางถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะปิดตาลงเพื่อซึมซับความสงบของสวนนี้เข้ามาในใจ
เกือบปีแล้วที่ซูเมิ่งลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับบาดแผลมากมายเต็มตัว มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่กลางผ่ามือข้างขวาน่าจะเป็นแผลจากคมมีด แผลลึกตัดลงไปจนถึงเส้นเอ็น ทำให้มือข้างขวาของนางใช้งานได้แค่ไม่กี่ส่วน จะกำจะคลายก็ยากลำบาก นอกจากบาดแผลหนักที่ฝ่ามือแล้ว อาการบาดเจ็บหนักอีกอย่างคือ นางมิอาจจำได้ว่าตนเองนั้นเป็นผู้ใด มาจากที่ใด ไร้ชื่อแซ่
จางหมิ่นคือชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ เขาดูแลและให้หมอที่ดีที่สุดในเมืองมารักษานาง บุญคุณและความใกล้ชิดระหว่างกัน เกิดเป็นความรัก หรือรักนั้นคงจะมีเพียงนางฝ่ายเดียวกระมัง
จางหมิ่งมิรักเกียจที่นางไม่รู้แม้กระทั่งตัวตนของตนเอง แต่งนางเป็นภรรยา รับสตรีที่ไร้ที่ไปอย่างนางเอาไว้ดูแลอย่างดี ซูเมิ่งยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของตนเอง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา นางหลงนึกว่าเขาแต่งกับนางเพราะรัก มิใช่เพียงต้องการดูแลคนไร้ที่ไปเยี่ยงนาง
ซูเมิ่งนั่งเงียบอยู่บนม้านั่งนั้น รู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยความทรงจำและความเจ็บปวดที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังก้องในหู ราวกับเป็นเสียงสะท้อนของความว่างเปล่าในหัวใจ นางค่อยๆ สัมผัสรอยแผลเป็นที่กลางฝ่ามือข้างขวาอีกครั้ง ความรู้สึกเย็นเยียบจากปลายนิ้วเรียกเอาความทรงจำที่เลือนรางแต่เจ็บปวดกลับคืนมา ภาพที่เคยเห็นเมื่อครั้งแรกเมื่อลืมตาขึ้นมาในโลกที่แปลกหน้า บาดแผลที่ฝ่ามือยังคงเด่นชัดในใจ เสียงกระแสน้ำที่กระทบโขดหินเสียงกรีดร้องที่ไม่ได้ยินชัด แต่ก็ยังคงก้องอยู่ในความฝันทุกคืน
นางรู้สึกถึงความหวังที่เคยมีเลือนลางไป เหมือนดอกไม้ที่บานและร่วงโรยในสวนนี้ ซูเมิ่งรู้ดีว่าจางหมิ่นไม่เคยพูดคำว่ารัก เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่มีหัวใจอ่อนโยน แต่ความอ่อนโยนนั้นเป็นสิ่งที่นางหลงเข้าใจผิดมาตลอด นางคิดว่ามันเป็นความรัก แต่แท้จริงแล้ว มันอาจเป็นเพียงความสงสาร หรือหน้าที่ที่เขารู้สึกว่าต้องทำ
นางยิ้มเยาะให้กับตัวเองอย่างขมขื่น ความจริงค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจเหมือนดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉา นางรู้สึกเหมือนหัวใจของตนเองถูกบีบแน่น แต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยอมรับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตของนางถูกลิขิตไว้แล้วจากอดีตที่จำไม่ได้ นางจะเดินต่อไปได้อย่างไรเมื่อรู้ว่าความรักที่นางมีนั้นอาจไม่เคยมีอยู่จริง เหมือนชื่อที่เขาตั้งให้นาง
ซูเมิ่ง ความฝันอันสวยงาน หรือนางควรตื่นและยอมรับความจริงได้แล้ว
“เจ้าจะคิดอีกนานหรือไม่”
เสียงหวีดแหวบาดหูเอ่ยถาม เมื่อนางขอร้องให้สตรีผู้นี้ออกไปจากเรือนเหมยฮวาแห่งนี้ หากต้องแต่งกับเขา เขาต้องมีเพียงนางผู้เดียว จะมาซุกซ่อนอนุเอาไว้ที่เรือนนอกเมืองเช่นนี้ไม่ได้
“คุณหนู ท่านก็ทราบดีว่าข้าไม่มีที่ไป” ซูเมิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย นางไร้หนทางจริง ๆ
“ไม่มีหรือไม่อยากไป “
“ข้า.. “
“ไม่มีที่ไปหรือเจ้าไม่คิดจะปล่อยว่าทีสามีข้ากันแน่ เงินที่ข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าสามารถนำไปเริ่มชีวิตใหม่ได้ ข้าเป็นถึงบุตรเสนาบดี ข้าทนใช้สามีร่วมกับสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้าไม่ได้ อีกอย่างการที่ข้ามาขอร้องเจ้าดี ๆ เพราะเห็นแก่ลูกผู้หญิงด้วยกัน เพราะหากท่านพี่จางเมิ่งรู้ว่าข้ารู้ว่าเขาแอบซ่อนเจ้าเอาไว้ เขาต้องพยายามหาทางกำจัดเจ้าไปให้พ้นทางเพราะเขารักหน้าตาและศักดิ์ศรีมากกว่าสิ่งใด หากเขารักเจ้าจริงคงมิให้เจ้ามาอาศัยอยู่เรือนนอกเมืองเช่นนี้ คงพาเจ้าเข้าไปอยู่ที่จวนสกุลอู่แล้ว การมีอยู่ของเจ้าคือความอับอาย เจ้ามิรู้ตัวเลยงั้นหรือ” นางสืบเรื่องราวมาหมดแล้วว่าที่คู่หมายของนางที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์แอบทำสิ่งใดที่นอกเมือง และเรื่องราวของอนุที่เขาซุกซ่อนเอาไว้มีความเป็นมาเช่นไร ปิงเยว่ฉางยิ้มเหี้ยม