“ไปด้วยกันดีแล้วครับ น้องกิตอยากไปเที่ยวด้วยครับ” พอมีเรื่องกิตเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอก็ใจอ่อนยวบในทันที
“แต่พรุ่งนี้คุณหนึ่งต้องไปเที่ยวสวนสนุกกับพวกเราก่อนนะครับ”
“เราก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว คุณภีมเรียกหนึ่งว่าหนึ่งเฉยๆ ดีกว่านะคะ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก”
“งั้นหนึ่งก็ควรเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมด้วยนะครับ เรียกคุณทำให้เราดูห่างเหินกันจัง”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ งั้นเรียกอาภีมดีไหมคะ”
“เอ่อ... ก็ได้ครับ” เขาลูบท้ายทอยเก้อๆ
“ดูแก่ไปเหรอคะ คิกๆ” เธอเอ่ยถามแล้วหัวเราะเบาๆ ที่เห็นสีหน้าว่าเก้อของเขา
“ไม่หรอกครับ เรียกแบบนี้ผมดูเหมือนญาติผู้ใหญ่ดีครับ ถ้าใครมาจีบหลานผม ผมหวงนะครับ” เขาพูดแล้วทำท่าทีขึงขัง ทำให้หนึ่งฤทัยอดที่จะหัวเราะออกมาเสียไม่ได้แต่สำหรับภีมพัฒน์นั้นเขารู้สึกหวงเธอขึ้นมาจริงๆ แต่เขานั้นไม่ได้เร่งรีบอะไร ให้เธอค่อยๆ เรียนรู้เขาไปแบบนี้ดีแล้ว ชีวิตมีอะไรให้เลือกและให้ทำอีกเยอะ เขาไม่อยากมัดมือชกหรือทำให้เธอต้องอึดอัดใจ
วันหยุดสองพ่อลูกมารับหนึ่งฤทัยตั้งแต่เช้าเพื่อพากันไปเที่ยวสวนสนุก กิตรู้สึกมีความสุขมาก เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่าตัวเองมีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนคนอื่นเขา
“นั่นหมูหวานนี่ครับคุณพ่อ” กิตรีบกระตุกมือของบิดาเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันก็มาเที่ยวสวนสนุกด้วย ดูเหมือนหมูหวานเองก็จะเห็นเพื่อนเลยเดินเข้ามาหาในทันที
“กิตมาเที่ยวสวนสนุกเหมือนกันเหรอ” หมูหวานเป็นเด็กหญิงตัวอ้วนกลมชอบยิ้มแต่ก็ชอบขี้อวดด้วย
“ใช่น่ะสิ เธอมาเที่ยวได้เราก็มาเที่ยวได้เหมือนกัน”
กิตกอดอกทำท่าทีว่าเขาเองก็มาเที่ยวได้ ผู้ใหญ่นั้นทักทายกันตามมารยาท ปล่อยให้เด็กๆ ได้สนทนากันตามอัธยาศัย
“เรามากับคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อกำลังไปซื้อไอศกรีมรสช็อกโกแลตให้เราทางโน่นแหละ” หมูหวานรีบอวด และได้ผลทุกครั้ง เมื่อกิตไม่มีแม่ให้อวดและต้องหน้าม่อยพ่ายแพ้ให้แก่เธอ
ถึงแม้การเรียนของเธอจะเป็นรองกิตแถมยังสอบได้ที่โหล่ของห้อง แต่เรื่องพ่อแม่และครอบครัวเธอไม่แพ้ใคร ครอบครัวของเธออบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา
“เราก็มากับคุณพ่อคุณแม่เหมือนกันแหละ คุณแม่ของเราไปเข้าห้องน้ำ ส่วนไอศกรีมรอคุณแม่มาก่อน คุณพ่อบอกว่าจะไปซื้อให้” กิตรีบยืดอกอวดอ้างในทันที
“นายไม่มีแม่นี่นา” หมูหวานตาโตมองอย่างสนใจ ชะเง้อคอมองหา อยากเห็นหน้าแม่ของกิตนัก และคิดว่าเพื่อนอาจจะแค่ขี้โม้เท่านั้นเอง
“เรามีแม่แล้ว”
“แม่เลี้ยงเหรอ แม่เลี้ยงใจยักษ์เหมือนในละคร”
“แม่เราไม่ได้ใจยักษ์ แม่เราใจดี ใจดีกว่าแม่ของเธออีก”
“เราไม่เชื่อหรอก ข้างบ้านของเราก็มีแม่เลี้ยงใจยักษ์ ตีลูกเลี้ยงทุกวันเลย ต่อไปนายก็จะโดนตี แล้วพ่อของนายก็จะรักแม่เลี้ยงมากกว่านาย”
“ไม่จริง อย่ามาโกหกนะยายหมูหวาน”
“ต่อไปนายก็จะเป็นหมาหัวเน่า” หมูหวานแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อน ทำให้กิตเริ่มที่จะโกรธ แต่บิดาสอนเสมอว่าเป็นผู้ชายต้องเป็นสุภาพบุรุษไม่ทำร้ายผู้หญิง
“โน่นไงแม่ของเรามาแล้ว” กิตรีบเข้าไปกอดแขนหนึ่งฤทัยเอาไว้ในทันที
“แม่ของเราสวยกว่าแม่ของเธอ” กิตอวดอ้างทำหน้าทำตาใส่ยายหมูหวานขี้อวด
“แม่เราสวยกว่า” เด็กๆ เริ่มเสียงดัง จนผู้ใหญ่ที่คุยกันอยู่อย่างออกรสรีบปรามเอาไว้ในทันที
“ไม่เอาจ้ะเด็กๆ” นารถลดารีบปรามลูกๆ
“คุณแม่ขา นายกิตบอกว่ามีคุณแม่คนใหม่แล้วค่ะ” หมูหวานรีบฟ้อง นั่นทำให้หนึ่งฤทัยหันไปมองสบตากับภีมพัฒน์แล้วถึงกับหน้าแดง
“คุณภีมมีภรรยาใหม่แล้วเหรอคะ ไม่เห็นมีข่าวคราวแต่งงานเลย” ประโยคของนารถลดาทำให้ภีมพัฒน์ต้องตั้งสติ เขาจะตอบอย่างไรไม่ให้หนึ่งฤทัยเสียหาย และไม่ทำให้บุตรชายต้องเสียหน้าเพราะว่าหมูหวาน หรือมณีนารถชอบล้อเลียนบุตรชายของตนอยู่เสมอ เขาเองก็รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด นั่นทำให้กิตนั้นมีปมในใจที่ตัวเองไม่มีแม่เหมือนคนอื่นเขา
“เรายังไม่ได้แต่งงานกันค่ะ แต่กำลังคบหาดูใจกันน่ะค่ะ แล้วดิฉันก็รักน้องกิตเหมือนลูกคนหนึ่ง ยินดีเป็นแม่ให้น้องกิตค่ะ” ประโยคคำตอบของหนึ่งฤทัยทำให้กิตยิ้มร่า และภีมพัฒน์เองก็ยิ้มให้หญิงสาวอย่างขอบคุณ
“อ้อ... แฟนใหม่ของคุณภีมนี่เอง” นารถลดาพยักหน้าเข้าใจ
“แต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมแจกการ์ดให้เราสองคนด้วยนะคะ” นารถลดายิ้ม ก่อนจะเอ่ยขอตัวเมื่อเห็นว่าภีมพัฒน์กับหนึ่งฤทัยเพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านั้น
หมูหวานหรือมณีนารถหันมาแลบลิ้นใส่กิตก่อนจะให้บิดาอุ้มเดินจากไป
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ลำบากใจ” ภีมพัฒน์รีบเอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เขากลัวหนึ่งฤทัยจะอึดอัดใจและที่เธอพูดไปก็เพราะกิต ไม่อยากให้บุตรชายของเขาต้องหน้าแตกต่อหน้าเพื่อนร่วมห้อง
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ” เธอบอกปัดก่อนจะนั่งลงตรงหน้าของกิต และกุมแก้มของอีกฝ่ายเอาไว้
“อยากกินไอศกรีมใช่ไหม รสอะไรเอ่ยเดี๋ยวพี่หนึ่งไปซื้อให้กิน”
“อยากกินรสช็อกโกแลตครับ” กิตยิ้มแฉ่ง ให้บิดาอุ้มพากันไปซื้อไอศกรีมอย่างมีความสุข
“คืนนี้แม่หนึ่งต้องไปเล่านิทานให้น้องกิตฟังนะครับ” ประโยคของเด็กน้อยระหว่างทางกลับบ้านทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเผลอมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เมื่อกี้น้องกิตว่าอะไรนะคะ” เป็นหนึ่งฤทัยเองที่ต้องถามซ้ำ เพราะไม่แน่ใจว่าถูกเรียกว่าเช่นไร
“น้องกิตบอกว่าคืนนี้แม่หนึ่งไปเล่านิทานให้น้องกิตฟังหน่อยนะครับ”
“แม่หนึ่งเหรอจ๊ะ” เธอทวนคำของเด็กน้อยเบาๆ
“ทำไมเรียกพี่หนึ่งแบบนี้ล่ะคะ” เธอเอ่ยถามยิ้มๆ ไม่ได้นึกเคืองโกรธเด็กน้อยแต่อย่างใด
“น้องกิตอยากให้พี่หนึ่งเป็นแม่จริงๆ นี่ครับ เรียกแม่หนึ่ง ไม่ซ้ำกับหมูหวานด้วย” พอพูดชื่อหมูหวานก็ทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจ คงโดนหมูหวานพูดอย่างนั้นอย่างนี้อวดใส่เลยรู้สึกอยากอวดบ้าง
“น้องกิตสนิทกับหมูหวานเหรอคะ” หนึ่งฤทัยชวนคุยในขณะที่ภีมพัฒน์ตั้งใจขับรถของเขาไป แต่หูก็ฟังการสนทนาของบุตรชายกับคุณแม่คนใหม่ป้ายแดงของบุตรชายไปด้วย
“ก็ไม่ได้สนิทหรอกครับ แต่หมูหวานขี้โม้ ชอบโม้ว่าแม่ตัวเองสวย ตัวเองมีแม่น่ารัก แม่หนึ่งของน้องกิตก็สวย ทำอาหารก็อร่อย แถมยังน่ารักกว่าด้วยครับ”
“ไปพูดแบบนั้นเดี๋ยวหมูหวานก็หาว่าเราขี้โม้หรอกค่ะ” หนึ่งฤทัยหัวเราะเบาๆ กับความฉลาดเฉลียวขี้อวดของเจ้าตัวน้อยที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง
“หมูหวานยังขี้โม้เลยนี่ครับ”
“ใครขี้โม้ก็ปล่อยให้เขาโม้ไปค่ะ เราไม่ขี้โม้คนอื่นจะได้ไม่หมั่นไส้”
“ครับ น้องกิตจะไม่ขี้โม้เหมือนหมูหวาน”
“ดีแล้วค่ะ” เธอยิ้มเอ็นดูให้เด็กน้อย พอหันมาก็เจอเข้ากับสายตาของภีมพัฒน์ที่มองเธอด้วยความเอ็นดูเช่นกัน ทำให้เธอถึงกับเขินอายขึ้นมาในทันที
หญิงสาวรู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนผ่าวยามที่ได้สบประสานสายตากับเขา
“พรุ่งนี้อามารับไปซื้อเสื้อผ้านะ” เขารีบเอ่ยขึ้นหลังจากที่ส่งเธอที่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
“ค่ะ” เธอรับคำยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ
“คุณแม่พี่หนึ่งอย่าลืมไปเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนด้วยนะครับ” เด็กน้อยทวงสัญญา
“ค่ะ” เธอเกี่ยวนิ้วก้อยกับนิ้วก้อยเล็กๆ ของเด็กน้อยเพื่อรับคำสัญญา
รุ่งเช้าของวันใหม่ ภีมพัฒน์มารับหนึ่งฤทัยตั้งแต่เช้าเพื่อออกไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน ส่วนกิตนั้นอยู่บ้านกับคุณยาย เพราะวันนี้คุณยายทำขนมอร่อยๆ หลายอย่าง เด็กน้อยเลยเกาะติดคุณยายแจ ปล่อยให้สองหนุ่มสาวได้ออกไปด้วยกัน
“อาภีมไม่ต้องจ่ายค่าชุดให้หนึ่งหรอกค่ะ” หนึ่งฤทัยรีบปฏิเสธเมื่อเห็นว่าภีมแย่งจ่ายเงินให้เธอตลอด