‘ซี พลัช พัฒนรุ่งเรืองกิจ’ น้องชายคนเล็กของแซค อายุ 18 ปีกำลังเรียนมัธยมปลายปีที่ 6 ใกล้ๆ นี้จะสอบเข้ามหาลัยซึ่งแซคไม่ค่อยได้คุยกับน้องชายตัวเองเนื่องจากไม่ได้อยู่บ้าน แต่อยู่เพนท์เฮ้าส์ที่ตัวเองซื้อไว้
“น้องชายเฮียมีธุระจะคุยด้วย” หันไปมองหญิงสาวที่กอดรัดเขาจากด้านหลัง พลางกดจูบลงบนไหล่หนาเปลือยเปล่า แซคคว้ากระเป๋าเงินสีดำสนิทหยิบธนบัตรสีเทามาปึกหนึ่งและตีไปที่ศีรษะของหลิน เธอรับเงินก้อนนั้นด้วยความเต็มใจ “ถือซะว่าเป็นคำขอโทษของเฮียที่ไม่ได้ค้างด้วย”
“ค่า”
“ตั้งใจเรียนล่ะ” แซคกดจูบลงที่หน้าผากมนขณะสวมกางเกงยีนส์สีซีดตัวโปรดพร้อมเสื้อยืด สายตาก็เหลือบไปมองถังขยะที่มีถุงยางอนามัยใช้แล้วสองชิ้นถูกมัดปม “เฮียไปนะ”
“ขับรถดีๆ นะคะ ยังไงหลินทักไปนะ เป็นห่วงค่ะ”
“โอเค” มือซ้ายที่มีรอยสักลูบไล้แก้มนวลจากนั้นก็ออกจากห้องที่เป็นคอนโดเพื่อตรงกลับบ้าน ที่นี่เป็นอีกสถานที่ที่เขาเช่าให้หลินอยู่และผู้หญิงในสต็อกอีกหลายคน ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเขาถึงทำตัวแบบนี้ เพราะโสดไม่มีแฟนจะทำอะไรก็ได้ ใครจะมาว่าเขาไม่ได้นะ คนมันหล่อรวยก็งี้
รถของแซคเลี้ยวเข้าตัวบ้านที่ใหญ่โตสมฐานะตระกูลพัฒนรุ่งเรืองกิจ ทางเข้าถนนขนาดย่อมและด้านข้างก็ตกแต่งด้วยพุ่มดอกไม้สีสันสดใสที่แม่ของแซคชื่นชอบ หน้าบ้านมีลานน้ำพุและสนามหญ้าที่ไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงได้ รถจอดลงที่หน้าบ้าน ประตูคู่บานใหญ่เปิดออกทำให้รู้ว่ายังไม่มีใครนอนสินะ นอนดึกเกินไปไหม?
สองเท้าก้าวเข้าไปก็เจอกับบันไดสองทางแยก ด้านบนเป็นระเบียงทางเดินแบบโค้งมีโคมไฟแชนเดอเรียขนาดใหญ่ห้อยระย้าส่องแสงสว่างทั่วบ้าน
“แซค” น้ำเสียงเข้มทรงพลังทำให้แซคเงยหน้ามองบันไดทางด้านซ้าย หนุ่มใหญ่สวมชุดนอนแบบกางเกงขายาวเข้ากับเสื้อผ้าลื่นสีน้ำตาลเข้ม แซครีบยกมือไหว้คนที่ลงบันไดมาหยุดตรงหน้า
“สวัสดีครับพ่อ” ‘ทินกฤต พัฒนรุ่งเรือกิจ’ บิดาของแซคแต่งงานกับคุณหญิง ‘พิมพิลา พัฒนรุ่งเรืองกิจ’ เขาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีโครงการบ้านจัดสรรอยู่ทั่วประเทศ ไหนจะมีบริษัทผลิตน้ำหอมอยู่ที่ฝรั่งเศสอีก เป็นคนใหญ่คนโตและมีอิทธิพลมากในแวดวงบันเทิงหรือแม้แต่ไฮโซ ไม่มีใครไม่รู้จักเขาบ้างล่ะผู้ทรงอิทธิพลที่ร่ำรวยติดอันดับ ทินกฤตมองลูกชายคนโตที่ค่อนข้างผ่าเหลาผ่ากอ สักเต็มตัวอายุก็ยี่สิบแปดแล้ว เรียนจบบริหารแต่กลับไม่ได้มาช่วยเขาทำงาน ดันไปเปิดผับถึงจะชื่อดังมีคนเที่ยวไม่เว้นวัน แต่ทินกฤตกลับรู้สึกว่าลูกชายคนโตทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
“โผล่หัวมาที่บ้านทำไม?” ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “หายหัวไปเกือบปี”
“งานที่ผับผมยุ่ง”
“ยุ่งที่ผับหรือผู้หญิงที่แกเลี้ยงดูกันแน่ แซค” ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต ทำให้แซคถูกคาดหวังเรื่องแต่งงาน แต่สำหรับเขาแล้วการแต่งงานเปรียบเสมือน โรคร้ายแรงที่สลัดเท่าไหร่มันก็ไม่หลุด เขาชอบชีวิตเสเพลแบบนี้มากกว่าไปนั่งมีเมียมีลูก “ฉันถามแกจริงๆ นะ”
“...” แซคถอนหายใจพลางมองไปด้านบนเพื่อมองหาน้องชายตัวดีที่พาให้เขามาโดนพ่อด่าแบบนี้
“แกรู้จักความรักบ้างไหม?” ดวงตาคมกลอกขึ้นบนไปมา คำถามงี่เง่าชะมัดแซคได้แต่คิดในใจ “เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเสเพล เลี้ยงผู้หญิงที่ยังไงแกก็ไม่มีวันเอาเขามาเป็นเมีย”
“ผมเอาเงินพ่อมาเลี้ยงพวกเขาหรือไงล่ะ?”
“!” ทินกฤตเบิกตากว้างเมื่อลูกชายคนโตห่ามใส่เขาขนาดนี้
“ก็ไม่” แซคยักไหล่ไหว “ที่ผมกลับมาก็เพราะไอ้ซี ถ้ากลับมาแล้วต้องมาโดนด่า ผมไม่กลับมาเหยียบหรอก”
“ไอ้แซค!”
ร่างสูงเดินหนีพ่อตัวเองไปด้านหลังของตัวบ้าน เป็นริมสระน้ำเพราะคิดว่ายังไงซีก็ต้องอยู่ที่นั้น แซคไม่สนใจเสียงตะโกนด่าไล่หลังสักนิด มาหยุดที่ประตูทางไปริมสระกวาดสายตามองก็พบน้องชายที่เอนพลังพิงกับเก้าอี้เปลอาบแดด ในมือถือหนังสืออะไรสักอย่างที่เขาเห็นไม่ชัด ล้วงกระเป๋ากางเกงเดินไปหยุดด้านข้างซีก็ยังไม่รู้ตัว จนแซคยกเท้าถีบไปที่เอวหนาจนซีตกใจ หันมองพี่ชายตัวเองที่เรียกมาหาแบบกะทันหัน
“ไร้มารยาท” ต่อว่าแซคที่ยกหมัดขึ้นทำท่าจะต่อยน้องคนเล็ก “นั่งก่อน”
แซครู้ว่าน้องชายคนเล็กเป็นผู้ชายที่โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง คิดดูนะมีผู้ชายแบบนี้อยู่บนโลกไหมล่ะ? หมอนี้มันเล่นรูบิกแล้วก็ต่อจิ๊กซอว์ แถมอีกอย่างนะชอบเล่น ไอ้เกมไม้อะไรสักอย่างที่ต่อเป็นคอนโดแล้วต้องดึงห้ามพัง ซึ่งแซคแพ้น้องชายตัวเองเสมอในเรื่องนี้ สายตาคมตวัดไปมองท่อนแขนขวาก็ต้องขมวดคิ้วทันที เมื่อซีเอาแขนขวาไขว้หลังไม่ให้พี่ชายเห็น
“มึงแอบไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อาทิตย์ก่อน”
“เพื่อนมึงยุยงใช่ไหม กูบอกแล้วไงให้เลิกคบ”
“พวกนั้นไม่ได้พาผมไปเสีย แค่พาไปสัก” แซคเหนื่อยจะเถียงน้องชายตัวเอง พลางยกมือเกาศีรษะ
“มึงโทรเรียกกูมาให้พ่อด่า”
“เปล่า” ซีส่ายหน้าไปมา ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันกรอบแว่นตาสีดำขึ้นกระชับใบหน้าหล่อที่แม้จะถูกบดบังด้วยแว่นก็ตามที
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเลิกใส่แว่นตาหนาเตอะนี่สักที กูบอกให้ใส่คอนเทคเลนส์” แซคคว้าเอาแว่นตาเลนส์หนาของซีออกจากกรอบหน้าเรียว ต่อให้ทำเหมือนว่าไม่สนใจน้องชายตัวเองแต่ใจจริงแซคห่วงซีมากกว่าใคร ถามหน่อยแค่น้องชายส่งข้อความมาหาเขาก็รีบขับรถมาที่นี่เพื่อมาโดนพ่อตัวเองด่า “มึงมีอะไรจะคุยกับกู”
คืนแว่นตาให้น้องชายตัวเอง มองแขนขวาก็นึกหงุดหงิดใจชะมัด จะว่ามันเนิร์ดก็ใช่ แต่มันชอบทำตัวประหลาดๆ อยู่เรื่อยเลย พ่อแม่ถึงได้ห่วงนี่ไง
“ผมไปสัก”
“เออ กูเห็นแล้ว”
“พ่อแม่บอกให้ผมไปลบ จะให้ผมสอบหมอ” คิ้วขมวดเข้าหากัน มองซีที่ปิดหนังสือเรียนลงพลางถอนหายใจ “เฮียมีที่ลบรอยสักไหม?”
แซคมองซีที่ก้มหน้าลงเอามือซ้ายลูบไล้รอยสักสีดำที่เกือบๆ ถึงข้อศอก ตลอดเวลาที่เติบโตมาแซคมีซีและน้องชายคนกลางอีกคนชื่อ ‘โซ่ พลิช พัฒนรุ่งเรืองกิจ’ นักธุรกิจหนุ่มผู้บริหารบริษัทน้ำหอมที่ฝรั่งเศส หมอนั้นไปอยู่ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เรียนจบบริหาร พ่อแม่ปลื้มใจมันที่สามารถสืบทอดกิจการของตระกูลได้ แซคกับโซ่สนิทกันมากตั้งแต่สมัยเด็กๆ พอซีเกิดมาซึ่งมันเป็นลูกหลงก็ว่าได้นะ แต่ทว่ามันฉลาดและเรียนเก่ง โลกส่วนตัวสูงไม่ชอบยุ่งกับใคร มีเพื่อนก็แค่ไม่กี่คนเอง
อายุสิบแปดยังไม่ได้แอ้มหญิง เป็นแซคตอนอายุเท่าซีคือกินเหล้า สูบบุหรี่ กินหญิงนับนิ้วไม่ได้
“ทำไมพ่อกับแม่ถึงอยากให้มึงสอบหมอ ให้สอบติดบริหารยังดีกว่า”
“แม่บอกว่าผมเรียนเก่ง เลยอยากให้เรียนหมอ” แค่เรียนเก่งก็จับโยงให้มันไปเรียนนู้นเรียนนี้นะ แซคมองใบหน้าหล่อเหลาของซีที่ทอดสายตามองไปยังสระน้ำกำลังเคลื่อนไหวตามแรงลม
“ที่มึงคิดมากคือเรื่องนี้” ซีพยักหน้ารับเพราะเอาเข้าจริงเขาเองก็มีคณะที่อยากจะสอบในใจแล้ว “ดูจากสีหน้ามึง มึงไม่อยากสอบติดหมอ”
“อือ”
“มึงอยากสอบติดคณะอะไร?” คงจะไม่มีใครเคยถามซีสินะว่าอยากสอบติดคณะอะไร มีแต่บอกให้ว่าสอบติดคณะนี้นะ แต่ไม่เคยถามว่าซีอยากเรียนคณะไหนมากที่สุด แซคเลิกคิ้วขึ้นเพื่อรอฟังจากปากน้องชาย
“สถาปัตย์”