“เผื่อมีใครบางคนแถวนี้คิดถึง” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างน่ามอง เขายิ้มใส่ตาหล่อน แต่พิชฎาทำคอแข็งใส่เป็นการตอบแทน
“แน่นอน ฉันคงคิดถึงคุณจนอยากจะฆ่าเลย” นักเขียนสาวโต้คืน ยกน้ำเปล่าขึ้นจิบแล้วตามด้วยยาเม็ดเล็ก ก่อนจะล้มกายลงนอนอีกครั้ง
แมคโลริคยิ้มให้คนปากดี เขาไม่ได้โกรธหล่อนจริงจังหรอกกลับดีใจด้วยซ้ำที่เห็นคนป่วยลุกมาตีฝีปากเช่นนี้ได้ แสดงว่าหล่อนอาการดีขึ้นแล้วจริงๆ เขาจะได้ไปดูงานอย่างสบายใจ ไม่ต้องมีห่วง
‘เอ...แล้วทำไมฉันต้องห่วงเธอด้วยล่ะ พิชฎา?’
คำถามนั้นผุดขึ้นในหัว พอๆ กับใบหน้าของหล่อนในเวลานี้ มันกระจ่างชัดในใจเขาแม้ว่าหล่อนจะแกล้งทำเป็นหลับไม่ยอมต้อนรับ
ชายหนุ่มโน้มกายลงไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง บรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากมนแล้วเลื่อนมายังพวงแก้มทั้งสอง มันเป็นจุมพิตแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยความโหยหา
พิชฎาลืมตาขึ้นมา อยากตัดพ้อต่อว่าแต่ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมที่ทอดมองมาทำให้เธอไม่อาจเอ่ยคำด่าว่าใดๆ
“คราวนี้ไปนานนะ ผมคงคิดถึงคุณ” เขาบอก
“คิดถึงดอกเบี้ยที่คุณจะเก็บจากฉันละสิไม่ว่า”
ริมฝีปากบางอยู่ห่างริมฝีปากเขาเพียงครึ่งคืบ แมคโลริคจึงฉวยโอกาสนั้นจุมพิตหล่อนดูดดื่มแทบลืมหายใจ ปลายลิ้นร้อนสากระคายตวัดไล้เล็มความหอมหวานจากโพรงปากนุ่มอุ่น
พิชฎาเองก็เผลอไปกับจุมพิตนั้น ราวกับว่าริมฝีปากนี้ยอมศิโรราบเมื่อเจอกับเจ้าของที่แท้จริง
“พะ..พอ พอ...แล้ว...” บอกพลางหายใจหอบถี่ จุมพิตสั่งลาของแมคโลริคดูดดื่มจนเธอแทบลืมหายใจ ฝ่ามือเขาประคองใบหน้าเธอไว้ เกลี่ยพวงแก้มซีดเซียวด้วยหัวแม่มืออุ่นๆ
“ผมไม่อยู่อย่าคิดกันล่ะ ผมกลัวคุณขาดใจตาย”
คนหลงตัวเองเอ่ยอย่างไม่อาย พิชฎาอ้าปากค้าง เริ่มทำตัวไม่ถูกกับการกระทำของเขา
“บ้าสิ ใครจะไปคิดถึงคุณ คุณไม่อยู่นั่นแหละ เหมือนสวรรค์มาโปรดฉันเลย”
“ขอให้จริงเถอะคุณนักเขียน กลัวจะคิดถึงผมจนร้องไห้ขี้มูกโป่ง” เขาเย้า ก้มลงจุมพิตหน้าผากมนอีกรอบแล้วทอดสายตาโหยหามาให้ อีกหลายวันกว่าจะได้พบหล่อนอีก แค่คิดก็ไม่อยากจากไปเลย
“ไม่มีทางหรอก ชิ!” คนป่วยว่าพลางดึงผ้าห่มคลุมโปง พลิกกายหันหลังให้
แมคโลริคยิ้มละไม เขาดึงผ้าห่มของหล่อนออก แล้วหอมแก้มสั่งลาอีกฟอด แม้คนป่วยพยายามปัดป้องแต่ก็ไม่สามารถต้านทานเรี่ยวแรงของคนตัวโต
“อาทิตย์หน้าเจอกันนะครับคุณน้า แล้วจะซื้อของมาฝาก”
เขาทิ้งท้ายแล้วถอยหลังออกจากห้องไป ความเงียบงันจึงดังกระหึ่มขึ้นในนาทีถัดมา พิชฎาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็อดหันกลับไปมองไม่ได้ เขาไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่กรุ่นอยู่ทั่วห้อง
ค่ำวันนั้นพิชฎาออกจากโรงพยาบาลโดยมีหลานสาวขับรถคันใหม่มารับ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ผุดขึ้นในหัวใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มยินดีของหลานรัก เธอขอรถตัวโชว์มาเลยนะ ไม่รอรถตามกำหนดจริง เพราะอยากให้หลานได้ใช้รถไวๆ รัญตาขอบคุณเธอไม่หยุดปากที่อุตส่าห์ดาวน์รถมาให้ ความเจ็บป่วยทางกายดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อมีความสุขทางใจเข้ามาเยียวยา แน่นอนว่าความสุขนี้เกิดขึ้นเมื่อไร้ร่างเงาของแมคโลริค บุรุษที่เธอหนักใจทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้
อาทิตย์ถัดมา
หลังจากพิชฎาออกจากโรงพยาบาล ทุกอย่างก็กลับเข้าโหมดปกติ น้าสาวของรัญตากลับมาบ้างานอีกครั้งและดูเหมือนจะบ้ายิ่งกว่าเดิม รัญตาไปทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้นเมื่อมีรถไว้ขับไปทำงาน เหลือเพียงแมคโลริคที่ยังไม่กลับจากดูงานที่ต่างประเทศ มีเพียง ผู้ช่วย คนสนิทเท่านั้นที่มาช่วยดูแลงานในบริษัทให้เป็นครั้งคราว
ร่างสูงของ เชน เคิร์ฟ ยืนจิบกาแฟอยู่หน้าผนังที่เป็นกระจก จากห้องทำงานของแมคโลริค เขาสามารถแลเห็นตึกรามบ้านช่องเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน เวลานี้เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น ยังไม่มีใครเข้ามาที่ทำงาน เขานั่งสะสางรายงานที่กองสุมอยู่บนโต๊ะให้เจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย ความเงียบงันทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องบางเรื่องที่ผ่านไปแล้ว วงหน้าสวยของแฟนสาวเจ้านายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ไม่น่าเชื่อว่าแมคโลริคจะมีคนรักซ่อนไว้ที่เมืองไทย เขาไม่เคยรู้กระทั่งเจ้านายสั่งความให้เขาไปช่วยดูแลความปลอดภัยให้หล่อนเมื่อวันนั้น ช่างน่าสงสารที่หล่อนกำลังถูกหลอกจากคนที่หล่อนรักมากที่สุด
ขณะที่ผู้ช่วยหนุ่มกำลังคิดอะไรเพลินๆ สองแขนเรียวของใครบางคนก็สวมกอดเขาแนบแน่นจากด้านหลัง
หมับ!
วงแขนเล็กเรียวใต้ชุดฟอร์มของบริษัทโอบรัดร่างแกร่งของเชน ดีที่กาแฟในถ้วยเขาจิบจนเกลี้ยงแล้ว มันจึงมิได้กระฉอกอันเนื่องมาจากการตื่นตกใจของเจ้าของ
“กลับมาไม่บอกกันเลยนะคะอาแมค รู้ไหมว่ารัญคิดถึงอาแมคที่สุดเลย”
คนที่ยืนกอดเชนอยู่จ้อเสียงใส ในประโยคติดจะเง้างอนเหมือนเด็กน้อยไม่ประสา หล่อนยังไม่ได้คลายอ้อมแขน และเชนก็ปรารถนาอ้อมแขนนี้เกินกว่าจะรีบแสดงตัวให้หล่อนรับรู้