“แล้วไหนละคะของฝาก” หญิงสาวแบมือขอ ในขณะที่ใบหน้าและลำตัวยังผนึกอยู่กับแผ่นหลังของคนที่คิดว่าเป็นแฟนหนุ่ม
เชนกระแอมขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยบางอย่าง
“เกรงว่าจะไม่มีของฝากครับ เพราะผมไม่ใช่บอส”
ดวงตาของสาวสวยเบิกขึ้นในนาทีนั้น รัญตารีบผละจากร่างสูงในขณะที่เขาหันมาเผชิญหน้า
ใบหน้าขาวคมของชายเลือดผสมผู้มีดวงตาเล็กเรียว ผิวออกเหลืองแต่นัยน์ตาสีเงินยวง ปรากฏอยู่ตรงหน้ารัญตาในเวลานี้ หญิงสาวยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด ลำคอแห้งผากและรู้สึกว่าเลือดลมจะสูบฉีดมากเกินปกติ เธอโทษความสะเพร่าของตัวเองที่เผลอทำเรื่องน่าอายจนต้องมายืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนี้
“อะ...เอ่อ ฉะ..ฉันขอโทษนะคะ ฉันนึกว่าคุณเป็น...”
รัญตาไม่รู้จะต่อประโยคนั้นว่าอย่างไร คนในบริษัทไม่มีใครรู้เรื่องระหว่างเธอกับแฟนหนุ่มมากนัก และเธอไม่รู้ว่าจะบอกให้บุรุษตรงหน้ารับรู้ดีหรือเปล่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจผิด ผมเองก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกัน บอสยังไม่กลับครับ ผมแค่แวะเข้ามาช่วยเคลียร์งานบางส่วน” เขาชี้แจง ยังรักษามาดนิ่งขรึมได้อย่างดีเยี่ยม มันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบนักแต่มักแสดงออกมาเองตอนรู้สึกประหม่า
“อ้อ...คุณเป็นคนของอาแมค เอ่อ..ของบอสหรือคะ” รีบเปลี่ยนคำเรียกแฟนหนุ่มเมื่อเห็นว่าไม่สมควร แต่บุรุษตาเรียวที่อยู่เบื้องหน้ากลับส่งยิ้มมาให้อย่างรู้ทัน
“ผมรู้เรื่องคุณกับบอสดี ทำตัวตามสบายเถอะครับ”
เขาบอก เริ่มผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้เจรจากับสาวเจ้า เสียงหล่อนไพเราะน่าฟัง ใบหน้าหล่อนก็น่ามอง สรุปว่าหล่อนน่ารักจนเขาอยากจะ ‘รัก’
รัญตายิ้มแห้งๆ อย่างเคอะเขิน รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทราบว่าบุรุษตรงหน้ารู้ว่าเธอกับแมคโลริคเป็นคนรักกัน
“เอ่อ...แล้วอาแมคจะกลับมาเมื่อไหร่คะ มาทันวันงานเลี้ยงหรือเปล่า” หมายถึงงานเลี้ยงประจำปีที่จัดขึ้นเพื่อพนักงานโดยเฉพาะ มีกำหนดในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า
“ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ บอสสั่งเรื่องนี้ไว้แล้ว ถ้าบอสมาไม่ทันก็ให้ผมจัดการไปได้เลย” ชายหนุ่มกล่าว ขยับไปนั่งหลังโต๊ะทำงานและเริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกครั้ง
“หรือคะ งั้น...ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
รัญตาเอ่ยขอตัวบ้างเมื่อไม่รู้จะคุยอะไรกับผู้ช่วยของแมคโลริคอีก เธอถอยออกจากห้องในนาทีนั้น หารู้ไม่ว่ามีสายตาคมมองตามทุกฝีก้าว
เชนถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใบหน้าสวยใสของรัญตากำลังทำให้หัวใจเขาสั่นไหวแปลกๆ หลายปีที่ผ่านมาหัวใจเขาไร้เจ้าของด้วยไม่คิดว่าความรักจะผ่านมาให้สัมผัส แต่เวลานี้เขาชักไม่แน่ใจ รักแรกพบมันคงแอบมาทักทายเข้าแล้วกระมัง
เที่ยงวันนั้นเชนต้องออกไปพบลูกค้าแทนแมคโลริค และเมื่อเลขาส่วนตัวของเจ้านายติดพันอยู่กับลูกค้าท่านอื่น เขาเลยต้องพาผู้ช่วยเลขาอย่างรัญตามาพบลูกค้าด้วยกัน มันจะไม่เป็นปัญหาหากว่าบ้านของลูกค้าท่านนี้จะไม่อยู่แถบชานเมือง และยิ่งกว่านั้น การเจรจาเรื่องอะไหล่รถยนต์ยังยืดเยื้อจนทั้งสองต้องตีรถกลับบ้านในเวลาเกือบสองทุ่ม กว่าจะเข้ากรุงเทพฯ ได้คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง
รัญตานั่งกระสับกระส่ายมาตลอดทางเพราะร้อนใจนักหนา เธอไม่ได้บอกน้าสาวไว้ในวันนี้ว่าจะกลับดึก
“คุณรัญจะโทรบอกที่บ้านก่อนก็ได้นะครับ ผมคิดว่ากว่าเราจะเข้าเมืองได้คงไม่ต่ำกว่าสามทุ่มแน่ๆ” เชนบอก ขณะที่สองตายังจดจ้องอยู่กับท้องถนนเบื้องหน้า สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านเต็มไปด้วยทุ่งนาที่ถูกสีแห่งราตรีเก็บกลืนสีเขียวของพวกมันไปจนสิ้น
รัญตาถอนหายใจอย่างปลดปลง ไม่ชอบเลยที่จะต้องโทรไปหาพิชฎาตอนเข้าตาจน ถ้าวันนี้รู้ว่าต้องกลับดึก เธอคงบอกน้าตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว
“ฮัลโหล...น้าฎาคะ วันนี้รัญจะกลับดึกหน่อยนะคะ น้าฎาไม่ต้องรอรัญทานข้าวนะ รัญทานมาแล้วค่ะ”
รัญตาจ้อถี่ยิบเมื่อรู้ว่าน้ารับสายตนแล้ว ส่วนพิชฎาได้แต่ชักสีหน้าใส่จอคอมพิวเตอร์ที่กำลังนั่งจ้องมันอยู่
“ทำไมล่ะรัญ วันนี้ประชุมดึกเหรอ”
“ค่ะ เอ่อ...เอาไว้ประชุมเสร็จรัญจะรีบกลับนะคะ แค่นี้ก่อนนะคะ แบตฯ กำลังจะหมดค่ะ” รัญตารวบรัดตัดความ เพราะถ้าพิชฎารู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บริษัทคงโดนโวยอีกหลายกระบุง “เฮ้อ...เราจะถึงกรุงเทพฯ ตอนที่โมงคะ” ถามสารถีที่กำลังตั้งอกตั้งใจขับรถ
“ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าฝนไม่ตกเราคงถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ คุณต้องโทรรายงานผู้ปกครองทุกครั้งที่ออกนอกพื้นที่หรือเปล่า ขอโทษทีนะที่ถาม ผมเห็นว่าคุณก็โตแล้ว อย่าโกรธกันนะ”
ชายหนุ่มเลียบเคียงถาม ความเกรงใจก็มีแต่ความอยากรู้มีมากกว่า
“ก็...เกือบจะทุกครั้งค่ะ ฉันมีแค่น้าคนเดียวนี่คะ เรามีกันแค่สองคนก็เลยเป็นห่วงเป็นใยกัน แม้บางครั้งฉันจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งเข้าอนุบาลก็เถอะ”
รัญตาแอบประชดในประโยคท้ายๆ ได้รับเสียงหัวเราะเบาๆ จากบุรุษตาสีเงินที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“ดีออกนะครับ ผมเองก็อยากมีบ้าง...ความรู้สึกที่คุณว่า แต่บางครั้งการเป็นเด็กกำพร้าก็ทำให้ผมไม่มีทางเลือก”
จู่ๆ เชนก็เผลอเอ่ยเรื่องส่วนตัวออกมา รัญตาเลิกคิ้วสูง เธอเองก็ไม่แตกต่างจากเขาหรอก
“รัญเองก็กำพร้านะคะ คนที่เลี้ยงรัญมาก็มีแค่น้าฎา เราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอกค่ะ” พูดพลางอมยิ้มน้อยๆ เป็นยิ้มอันขื่นขม ยิ้มที่มีไว้เพื่อปลอบใจตัวเอง