บทที่ 4
รุกให้รัก
แมคโลริคดึงมือของคนป่วยมาจุมพิตอ้อยอิ่ง ก่อนจะแนบมือข้างนั้นกับแก้มของตนอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำเอาความนุ่มนิ่มของฝ่ามือบางมาประทับในหัวใจ
พิชฎามองแมคโลริคอย่างพิศวง เขายังไม่รู้ว่าเธอตื่นแล้ว
“คุณ? ปะ...ปล่อย ปล่อยมือฉันเถอะ” บอกเขาเสียงแผ่ว
แมคโลริคลืมตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาหันมาทางใบหน้างามที่ยังซีดเซียว
“ฟื้นแล้วเหรอ ผมนั่งรอตั้งนาน” ตัดพ้อเสียงนุ่มอ่อน มือข้างหนึ่งเลื่อนมาเกลี่ยปอยผมที่ระอยู่ข้างแก้มซีดเซียวนั้น
“ปล่อยมือฉันก่อน เดี๋ยวยัยรัญมาเห็น”
เธอเอ่ยติดกังวล สร้างความไม่พอใจเล็กๆ ในดวงตาเขา
“คุณกลัวหรือพิชฎา แต่ผมไม่กลัวสักนิด”
“แมค...ฉัน...ฉันไม่อยากเห็นหลานเสียใจ”
พิชฎาเอ่ยเสียงแผ่ว มองมายังมือเขาที่กุมมือเธออยู่
แมคโลริคปล่อยมือหล่อนอย่างเสียดาย ดวงตาสีเงินยวงมีประกายขุ่นเคืองชัดเจน เขาเบื่อที่จะต้องหลบหลีกมิให้รัญตารู้ความจริง เบื่อที่ต้องเล่นละครตบตา เขาอยากทำอะไรตามที่หัวใจต้องการ อย่างเช่นตอนนี้ที่อยากจุมพิตคนป่วยเหลือเกิน
“เมื่อไหร่จะบอกความจริงให้หลานรู้เสียที ผมเบื่อที่จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ ปกปิดความต้องการ ผมว่าคุณยอมรับความจริงแล้วบอกรัญตาเรื่องพี่ชายผมเถอะ”
“ไม่...ฉันไม่มีวันยอมแพ้” คนป่วยค้าน
“แต่พี่ชายผมไม่เคยแข่งกับคุณ คุณไม่มีวันแพ้เขา ถ้าคุณยังดื้อรั้นคนที่จะต้องสูญเสียก็คือคุณ”
“ฉันไม่เคยสูญเสีย...อะไรเลย” โต้กลับเสียงเครือ เพราะมั่นใจว่าตัวเองยังมิได้สูญเสียสิ่งใด
“คุณรู้เท่าที่ผมรู้ว่าคุณเสียอะไรมาแล้วบ้าง” เขาเอ่ยนิ่มๆ หวนคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดหล่อนชนิดถึงเนื้อถึงตัว แล้วยังจะกล้าพูดว่าตัวเองยังไม่สูญเสียอะไรอีกอย่างนั้นหรือ
พิชฎานิ่งเงียบ เริ่มไตร่ตรองคำพูดของเขา มันเจ็บลึกๆ ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเขาแฝงอะไรไว้ในประโยคแสนธรรมดานั้น
“จิรายุทธมีในสิ่งที่คุณไม่มีนั่นก็คือเงิน พวกเขายอมทุ่มทุกอย่างเพื่อจะให้รัญตามีความสุข” แมคโลริคพยายามชี้แจง อยากให้หล่อนยอมผ่อนปรนให้พี่ชายเขาบ้าง
“ฉันก็ยอมทุกอย่างเพื่อให้รัญตามีความสุขเช่นกัน” เสียงเครือของคนเป็นน้าค้านขึ้น เธอลุกมาเถียงกับคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“ผมรู้ รู้ว่าคุณยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกเช็คใบนั้น” เปรยขึ้นมาเหมือนเยาะอยู่ในที
“ฉันเปล่า ฉัน...ยังไม่ได้แลก” เธอยืนยัน มั่นใจที่สุดเพราะพรหมจรรย์ของตนยังเหลือเท่าเดิม
“คุณแลก ยอมรับความจริงเถอะพิชฎา ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงของผม ต้องมาอยู่บนเตียงของผมทุกเวลาที่ผมต้องการ” เขาว่าแล้วลุกยืน มือข้างหนึ่งเอื้อมมาบีบปลายคางมนให้หันมาเผชิญหน้า พิชฎาพยายามเบี่ยงหน้าหนี เขาเลยต้องกอดหล่อนไว้
“ไม่มีวัน ฉันไม่มีวันทำตามที่คุณต้องการหรอก แม้ว่าฉันจะ...” เธอเถียงไม่ออก ใบหน้าซีดเซียวแดงขึ้นเพราะความกระดาก รู้สึกว่าร่างกายนี้มันเป็นของเขาแม้ว่ายังไม่ลึกซึ้งถึงขั้นนั้นก็ตาม
“แต่คุณต้องทำที่รัก ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงของผมแล้วนะ อย่าเบี้ยวสิ เพราะดอกเบี้ยที่ผมจะเก็บจากเงินที่คุณยืมไปก็คือร่างกายของคุณ ที่ยังไม่เอาจริงก็เพราะอยากให้คุณยินยอมพร้อมใจเท่านั้น”
เหมือนคมมีดกรีดลงกลางใจพิชฎา ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นโสเภณีเต็มรูปแบบ ต้องขายเรือนร่างแลกเงิน!
“คุณมันเลวที่สุดเลยแมคโลริค!”
“หึๆ ขอบคุณ คุณก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนั่นแหละ ไหนบอกว่าจะยืมแค่ค่าดาวน์รถไง แต่เช็คใบนั้นมันขึ้นเงินผมไปตั้งสองล้าน! คิดว่าผมจะไม่สังเกตหรือไง”
แมคโลริคยิ้มเยาะ พิชฎาทำไม่รู้ไม่ชี้
“ฉัน...ไปยืมเงินคุณตอนไหนไม่ทราบ ขอดูหลักฐานหน่อยสิ”
หญิงสาวโต้คืนน้ำขุ่นๆ แมคโลริคยิ้มอย่างรู้ทัน พิชฎาแสบอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
“หลักฐานก็อยู่บนคอคุณนั่นไง รอยคิสมาร์กที่ผมทำขึ้นกับปากของผมเอง หรือคุณจะเถียง”
“คุณ!” เรียกเขาแล้วเม้มปากแน่น มันถูกต้องอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ
“ยอมรับความจริงซะคนสวย อย่ามาเล่นลูกไม้กับคนอย่างผมจะดีกว่า เพราะคุณรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันชนะ” ไม่ว่าเปล่าแต่ก้มลงสูดดมหน้าผากเกลี้ยงนูนอย่างหมั่นเขี้ยว มีเสียงดังเล็ดลอดจากริมฝีปากหยักดังจ๊วบอย่างจงใจ
น้าสาวของรัญตาดิ้นขลุกขลัก ตีหน้ายักษ์เข้าใส่แต่ไม่เป็นผล เขายังกอดเธอไว้จนตอนนี้ไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยได้เลย
พยาบาลคนงามเข็นรถเข็นมื้อเที่ยงของผู้ป่วยเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นกิริยาของญาติและผู้ป่วย เจ้าหล่อนรีบถอยร่นออกไปราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะกลายเป็นก้างขวางคอ
“ทานข้าวดีกว่า จะได้ทานยา”
แมคโลริคแนะ เขาปล่อยพิชฎาออกจากอ้อมแขนแล้วเลื่อนรถเข็นมาข้างเตียง ให้ตรงตำแหน่งที่หล่อนสามารถรับประทานได้โดยสะดวก
“ฉันไม่กิน” คนป่วยเอ่ยเสียงดังฟังชัด ใบหน้าซีดเซียวหันหนีพยาบาลจำเป็น
“คุณต้องกิน ถ้าอยากออกจากโรงพยาบาลค่ำนี้”
เขาแนะอีก พิชฎาตาขวางใส่ ไม่พอใจแต่ก็ต้องยอม เธอกินเองได้ แม้ว่าเขาต้องการจะป้อนก็ตาม
“พรุ่งนี้ผมไม่อยู่นะ”
จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา จังหวะนั้นพิชฎาก็วางช้อนลง เธอเพิ่งรับประทานไปได้เพียงสองสามคำเท่านั้น
“บอกฉันทำไม ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ว่าแล้วเบะปากใส่ ผิดกับใจที่วูบโหวงว่างเปล่าพิกล