เมืองสันต์ภพ
๓
หนูดีหอบร่างเปียกปอนของตนเดินไปตามเส้นทางในความทรงจำของร่างเดิมเพื่อกลับไปยังบ้านหลังเก่าก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าบ้านเรือนไทยหลังใหญ่มีป้ายเด่นหราติดตรงซุ้มประตู ‘เรือนผู้นำเชิด’ ยังไม่ได้ก้าวขาเข้าอาณาเขตของบ้าน น้องสาวต่างแม่ก็เท้าเอวชี้หน้าต้อนรับเสียแล้ว
“แกยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีกนะ นังร่าน”
“...” ดวงตากลมโตแสร้งกะพริบปริบ ๆ ให้ดูใสซื่อขณะแอบสำรวจผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวต่างแม่ของเธอ ดวงตาเฉี่ยวคมรูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือผิวขาวดั่งลูกคุณหนูทั่วไป แม้จะเด็กกว่าแต่ทรวดทรงใหญ่โตกว่าเธอไม่น้อย ก้มกลับมาดูของตัวเองอดไม่ได้ที่จะน้อยใจในโชคชะตา
มันจะใหญ่ให้สักชาติไม่ได้เลยเหรอ...
“มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น” เมื่อเห็นไม่มีการตอบกลับของคนตรงหน้าดาวเรืองก็ออกแรงผลักเบา ๆ เป็นการไล่ แต่ไหนแต่ไรเธอมักแกล้งพี่สาวอ่อนแอของเธอผู้นี้อยู่บ่อย ๆ
“โอ๊ยยยย!” หนูดีทิ้งตัวลงกับพื้นริมฝีปากกลับแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะที่ไม่มีใครมองเห็นพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ดาวเรืองอย่า พี่กลัว กลัวแล้ว…” ดาวเรืองเห็นเช่นนั้นถึงกับอ้าปากเหวอด้วยความอึ้งทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าผลักเบา ๆ พี่สาวบ้าของเธอจะกลัวถึงเพียงนี้
“เอะอะโวยวายอะไรกัน!!” เสียงเข้มของผู้นำเชิดเดินมาจากใต้ถุนเรือนด้วยสีหน้าอึมครึม ดวงตาดั่งเหยี่ยวกวาดสายตามองลูกทั้งสองก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยพยุงตัวหนูดีให้ลุกขึ้น
“พะ..พ่อ ช่วยหนูดีด้วย หนูดีกลัวดาวเรือง” ลุกขึ้นมาได้ก็รีบซบเข้าอกคนเป็นพ่อร้องไห้ตัวสั่นเต็มไปด้วยความกลัวแต่ก็ไม่วายแอบปาดน้ำมูกใส่เสื้อนั้นจนเลอะเทอะ
“อย่ามาตอแหลฉันยังไม่ได้ทำอะไรแกเลยนะ” เมื่อเห็นท่าทางสำออยของพี่สาวดาวเรืองก็ชี้หน้าตะคอกใส่ เห็นกิริยาวาจาของลูกสาวคนเล็กเป็นเช่นนั้นสีหน้าของผู้นำเชิดยิ่งไม่พอใจไปใหญ่
“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาเช่นนี้ดาวเรือง!!”
“พี่เชิด ใจเย็น ๆ พี่” ได้ยินเสียงผู้เป็นสามีตะโกนใส่ลูกสาวของตนชบาก็รีบออกมากางปีกปกป้องดาวเรืองทันที
หนูดีตวัดสายตามองผู้เป็นแม่เลี้ยงของร่างเดิมไล่พิจารณาตั้งแต่ใบหน้ายันปลายเท้า ใบหน้าหญิงวัยสี่สิบนิด ๆ กลับดูผิวพรรณนวลผ่องมีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยตามวัย เรือนร่างอรชรไม่ต่างจากดาวเรือง เธออยู่ในชุดสีชมพูบานเย็น
นับว่าชบาเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงามผู้หนึ่งเพราะดูจากการแต่งกายแล้วเมื่อเทียบกับผู้คนที่อยู่ตลาดเรียกได้ว่าเป็นผู้นำเทรนแบบฉบับตัวแม่ในโลกที่เธอจากมาเลยก็ว่าได้
“ใจเย็น ๆ เถอะพี่เชิด พี่อยากได้โมโหไปเลยจ้ะ ดาวเรืองเพียงลืมตัว” หนูดีเห็นชบาแก้ตัวแทนดาวเรืองก็ได้แต่แอบคว่ำปากใส่
“ใจเย็นเหรอ? เป็นถึงลูกสาวผู้นำหมู่บ้านวาจาเช่นนี้มันใช้ได้หรือ สั่งสอนลูกแบบไหนกัน”
“พี่ลูกเรายังเด็กอาจจะพลั้งพลาดไปบ้าง ว่าแต่หนูดีกลับมาบ้านเช่นนี้…” ชบาเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน เมื่อผู้นำเชิดนึกได้ว่าเขาไล่หนูดีออกจากบ้านไปแล้วก็ผลักลูกสาวออกจนร่างผอมบางทั้งร่างไปกองอยู่กับพื้น
“โอ๊ยยยย!”
“จริงสิ ข้าไม่มีลูกแบบเอ็ง”
“พ่อ…หนูดีกลัว อย่าผลักหนูดีตกน้ำเหมือนดาวเรือง” ดาวเรืองได้ยินถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมทั้งชี้หน้าหนูดี
“ไม่จริง!”
“ฮึก! พ่อ...ดาวเรืองผลักหนูดีตกน้ำ หนูดีหายใจไม่ออก” ใบหน้าเรียวเล็กผอมแห้งร้องไห้เต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตาเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้แต่ผู้นำเชิดกลับทำใจแข็งไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองลูกสาว
“อีหนูดีมึงพูดอะไร แน่จริงก็เอาหลักฐานมาเลย กูไปผลักมึงตกน้ำตอนไหน!!”
“ดาวเรือง!!” เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเรียกพี่สาวว่าอี ผู้นำเชิดผู้เคร่งครัดในกฎระเบียบขึ้นเสียงปรามจนดาวเรืองน้ำตาคลอด้วยความกลัวก่อนจะหันไปซบผู้เป็นแม่เพื่อฟ้อง
“หนูดีใส่ความดาวเรืองก่อนลูกเลยพูดไม่เพราะพี่อย่าถือสาเลยนะจ๊ะ” ชบาแก้ต่างให้ลูกสาวทั้งรู้สึกเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“ถึงหนูดีจะพูดอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาว ทั้งยังสติไม่ดี อย่าเรียกพี่เช่นนี้ให้พ่อได้ยินอีก” ผู้นำเชิดกล่าวตำหนิแต่กลับไม่หยิบคำพูดที่หนูดีเอ่ยเมื่อครู่มาพิจารณาทั้งยังไม่ยอมสอบหาความจริง
หนูดีถึงกับแค่นหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ ช่างประเสริฐเสียจริง พ่ออะไรกันนี่! ทำเป็นหลับตาข้างเดียวหรือคิดว่าเธอบ้าแล้วจะพูดมั่ว ๆ กันแน่
“หนูดีเอ็งกลับไปเสีย! ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเอ็งอีกต่อไปและข้าก็ไม่ใช่พ่อของเอ็ง” ผู้นำเชิดชี้นิ้วไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปกระท่อมโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าสบตากับหนูดี
“ฮึก! พ่อ...” เห็นดังนั้นหนูดีก็ยันตัวลุกขึ้นด้วยความเชื่องช้าราวกับคนไร้เรี่ยวแรงก่อนจะปาดคาบน้ำตาสะอึกสะอื้นทั้งที่ในใจกำลังเบ้ปากใส่
“...”
“ฮึก พ่อไม่รักหนูดี เมื่อคืนแม่…” เสียงใสเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใใบหน้าสวยก้มหน้าปาดน้ำตาเพราะกลัวการแสดงจะไม่แนบเนียนจึงต้องหลบตาตั้งหลักเสียหน่อย ส่วนผู้เป็นพ่อที่ได้ยินคำว่าแม่จากปากลูกสาวคนโตถึงกับชะงักแล้วหันกลับมามองเพื่อรอฟัง
“ทำไม?”
“แม่…แม่บอกหนูดีมาเอาโฉนด”
“…” ผู้นำเชิดถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแต่ไม่ได้มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย แต่คนที่ตกใจจนกำหมัดแน่นคือสองแม่ลูกที่กำลังสบตากันขณะนี้
“โฉนดของหนูดี แม่บอกโฉหนดของหนูดี แม่บอกให้มาเอาโฉนดของหนูดี” เธอแสร้งพูดซ้ำ ๆ เพราะไม่แน่ใจนักว่าคนสติไม่ดีต้องมีท่าทางเช่นไร
“เอ็งยังครบไม่ยี่สิบสองปี เอานี่ไปก่อน” มือใหญ่หยิบถุงเงินในกระเป๋ากางเกงแล้วโยนให้ลูกสาวอย่างไม่ใส่ใจ โบกมือไล่ก่อนจะเดินมือไขว้หลังเข้าเรือนเพราะไม่ต้องการจะคุยเรื่องนี้อีก
“ฮึก” หนูดีมองถุงที่รับมาในมือ เปิดดูปรากฏมีเหรียญจนเต็มถุง มือเล็กรูดปากถุงแล้วโยนเล่นเบา ๆ
ดูเหมือนพ่อคนนี้จะกลัวเธอพูดเรื่องโฉนดสินะถึงกับเดินหนีไม่กล้าสู้หน้า ใบหน้าสวยก้มหน้าก่อนจะตวัดหางตามองสองแม่ลูกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นแล้วกระตุกมุมปากใส่ซึ่ง ๆ หน้า ทำเอาสองแม่ลูกถึงกับขนลุกซู่เย็นไปทั้งสันหลัง
“แม่...” ดาวเรืองโผตัวเข้ากอดแม่ทันทีเกรงว่าหนูดีจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
“แบร่!!” ร่างผอมแห้งกระโดดแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แล้วเดินหนีไปพร้อมกับหัวเราะลั่นเหมือนคนบ้า เดินไปตามถนนแอบแวะเตะต้นไม้ให้สมบทบาทไปหนึ่งทีก่อนจะโบกมือทักทายก้อนหิน
“อีบ้า!” หนูดีเดินออกไปไกลแล้วดาวเรืองก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าโทษฐานทำให้เธอตกใจ แต่เธอต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อหนูดีชูนิ้วกลางใส่
“อะ อี!” ชบาหายใจจนอกกระเพื้อมขึ้นลงด้วยโมโห นิ้วเรียวชี้ตามแผ่นหลังหนูดีอยู่อย่างนั้นเธออึ้งจนแม้แต่จะตะโกนด่ายังสรรหาคำพูดไม่ออก
อีหนูดีมันกล้าหาญทำแบบนั้นใส่เธอตั้งแต่เมื่อไหร่!?