บท 1

1218 Words
เมืองสันต์ภพ ๑ ไม่นานนักข่าวลือเรื่องหนูดีคนบ้าพลอดรักกับเฉยพ่อหม้ายเมียตายจนตกน้ำก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจนเข้าไปถึงหูของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของหนูดีคนบ้าผู้นั้น ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาดุจภาพวาดพร้อมกับดวงตาลุ่มลึกคิ้วหนาเข้มแม้อายุสามสิบสี่แต่ใบหน้ากลับเด็กราวกับหยุดไว้ที่วัยยี่สิบกว่า กายกำยำแผ่รัศมีความน่าเกรงขาม บนคอสวมสร้อยพระเลื่อมกรอบทองบ่งบอกฐานะ นั่งชันเข่าหนึ่งข้างด้วยท่าทีสง่างาม ในมือถือสมุดสีน้ำตาลอ่อนขณะสายตามองลูกน้องวิ่งมารายงานข่าวด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์ “นาย ผู้นำเชิดไล่คู่หมั้นของนายออกจากเรือนไปอยู่กระท่อมปลายนาทั้งยังตัดพ่อตัดลูกอีกด้วยครับ” ‘เด่น’ ลูกน้องคนสนิทหอบหายใจพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เขาพึ่งได้ยินมาเมื่อตอนไปตลาดด้วยความรีบร้อน “เหตุใดถึงไล่” เสียงทุ้มของ ‘สิบหมื่น’ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีแม้แต่ความร้อนใจ หากเป็นเรื่องของคู่หมั้นเขาเพียงแค่จับตาดูอยู่ห่าง ๆ ทุกการเคลื่อนไหวของบ้านนั้นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจมากนัก ครอบครัวของผู้นำเชิดค่อนข้างยุ่งเหยิงสวนทางกับเขาผู้ชอบอยู่อย่างสงบจึงไม่ได้อยากสนใจใคร่รู้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาต้องข้องเกี่ยวกับครอบครัวนั้นก็คือหนูดีผู้ที่ตาของเขาได้หมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันกลายเป็นคนบ้าประจำหมู่บ้าน “ได้ข่าวว่าพลอดรักกับเอ่อ...กับ...” “พูดมา” “คือว่า...” “รีบ!” เมื่อเห็นลูกน้องมัวแต่ลังเลมือหนาก็พับสมุดแล้วเก็บไว้ด้านข้างพร้อมเอ่ยสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ “พลอดรักกับลูกพี่เฉยจนตกน้ำ ผู้นำเชิดกลัวเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเลยตัดพ่อตัดลูกไล่ไปอยู่กระท่อมครับ” คราแรกเด่นไม่กล้าจะเอ่ยเพราะอย่างไรทั้งสองก็คือคู่หมั้นและเพื่อนสนิทของผู้เป็นนาย “เหอะ” ริมฝีปากหนากระตุกเย้ยหยัน เขารู้อยู่แล้วว่าผู้นำเชิดผู้นี้อับอายขายหน้าที่มีลูกสาวเป็นคนบ้า ทั้งยังคอยจ้องจะโยนลูกสาวคนนี้ทิ้งอยู่ตลอดแต่ยังหาเหตุผลมากพอไม่ได้ที่จะผลักไส “ทำอย่างไรดีครับนาย นี่หนูดีก็อายุใกล้ครบกำหนดที่ต้องแต่งงานกับนายแล้วนะครับ” “แล้วเอ็งจะให้ข้าทำอย่างไร?” “ใช้โอกาสนี้ยกเลิกการหมั้นดีหรือไม่ครับ เป็นคนบ้าไม่พอยังริจะมีชู้อีก” เด่นถึงกับส่ายหน้าเบ้ปากอย่างนึกรังเกียจ ใครกันเล่าจะอยากมีนายหญิงเป็นคนบ้า ว่าแต่ลูกพี่เฉยจะไม่เลือกเสียหน่อยเหรอ หรือหน้ามืดตามัวขาดสติ? “เอ็งคิดว่าคนบ้าแบบไหนจะคบชู้ใช้หัวคิดบ้าง ไอ้เฉยมันรักเมียมันถึงเพียงนั้นเอ็งคิดว่าเพื่อนข้าจะเลวทรามได้ปานนั้นเชียวหรือ” ได้ยินดังนั้นเด่นก็พยักหน้าคิดตามคำพูดของนายจึงพบความจริง “แสดงว่า...” “ใช่ มันเป็นแผน ผู้นำเชิดต้องการฮุบสมบัติที่น้าหนูแดงมอบให้หนูดีต่างหาก” ดวงตาคมเข้มมองออกไปนอกเรือนด้วยสายตายากหยั่งถึง “เอ็งออกไปเฝ้าหนูดีไว้ อย่าปล่อยให้ตาย” “ครับ” เด่นไม่เข้าใจเจ้านายนักแต่ก็พยักหน้ารับปากแล้วออกไปทำหน้าที่แต่โดยดี แต่ไหนแต่ไรเจ้านายของเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งกับคู่หมั้นคนนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยรังเกียจแอบยื่นมือเข้าช่วยลับ ๆ อยู่หลายครา ทั้งไม่ยอมแต่งงานกับสาวใดโดยอ้างว่าตนมีคู่หมั้นแล้วราวกับเอาคำนี้มาเป็นไม้กันหมาเพื่อปฏิเสธหญิงสาวที่เข้ามาวอแวอย่างไรอย่างนั้น ทางด้านหนูดียันตัวลุกขึ้นไปเปิดประตูไม้ที่เหมือนจะพังออกด้วยความเบามือก่อนจะหอบร่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปในกระท่อม เมื่อเข้าไปก็เห็นที่นอนหมอนมุ้ง ตะเกียงน้ำมันพร้อมกับหีบเก่า ๆ วางอยู่มุมห้องราวกับทุกอย่างถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวัน “ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริง ๆ” ริมฝีปากเล็กแค่นยิ้มเย้ยหยัน เมื่อกวาดสายตามองรอบ ๆ พบกล้วยหนึ่งเครือวางอยู่ใกล้ประตู เห็นดังนั้นเสียงใสแหบพร่าถึงกับหัวเราะในลำคอ เธอเดินตรงไปยังตำแหน่งของหีบเพื่อหาชุดเปลี่ยนให้ร่างกายอบอุ่น เปิดหีบออกมาก็พบเชือกมัดหนึ่งพอจับขึ้นมาดูถึงกับครางในลำคอเมื่อเข้าใจความหมาย คงไม่ได้เอาไว้ให้เธอทำราวตากผ้าเป็นแน่ หนูดีวางม้วนเชือกไว้ข้างหีบแล้วค้นต่อเจอเพียงเสื้อผ้าเก่าสีซีดหมองเหมือนใส่แล้วซักซ้ำ ๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ ในฐานะเด็กรุ่นใหม่ที่รักสวยรักงามอยู่ตลอดเวลาแบบเธอถึงกับเบ้ปากรับไม่ได้ “ให้ตายเถอะ” ใบหน้าสวยกลอกตาด้วยความเหลืออด มีอะไรที่ดี ๆ บ้างไหมชีวิตของร่างเก่า แม้จะเป็นคนบ้าก็เป็นถึงลูกผู้นำหมู่บ้านเชียวนะเว้ย แต่เธอจะไปคาดหวังทำไมในเมื่อทั้งครอบครัวรีบไล่มาอยู่กระท่อมโดยไม่ฟังเหตุผลแบบนี้ จะเป็นไปได้เหรอที่เธอจะได้รับสิ่ง ๆ ดีจากครอบครัว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ควรได้รับ จู่ ๆ ภาพความทรงจำเก่าของร่างเดิมก็ไหลเข้ามาอีกครั้ง... ภาพของหญิงสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งกำลังลูบหัวเธอแววตาคู่สวยมองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักพร้อมกับยกกระดาษแผ่นใหญ่ให้เธอดู ท่ามกลางชายที่เริ่มจะชราทั้งสอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งและเด็กวัยรุ่นชายอายุราว ๆ สิบกว่าปี ‘ที่ดิน 160 ไร่นี้ตายกให้แม่แต่แม่จะยกให้ลูกนะ เมื่ออายุครบ 22 ปี ลูกจะได้สิ่งนี้ไปเป็นสมบัติติดตัว’ ‘หนูดีอยากได้แค่ม้าก้านกล้วย’ เด็กน้อยตอบด้วยดวงตาใสซื่อทำเอาทุกคนที่ได้ยินถึงกับหัวเราะลั่นไปทั้งเรือนพร้อมกับมองด้วยความเอ็นดู ‘โตขึ้นเดี๋ยวลูกก็อยากได้เอง’ หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นลูกก่อนจะหันไปหาเด็กชายวัยรุ่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลพร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยน ‘น้าฝากดูแลน้องด้วยนะสิบหมื่น’ เด็กชายวัยรุ่นสบเข้าดวงตากลมใสคู่นั้นก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “เธอมีที่ดินที่แม่จะยกให้สินะ” เสียงใสของหนูดีพึมพำออกมาก่อนจะเหยียดยิ้ม นิ้วเรียวสวยแต่ผอมแห้งคว้ากล่องไม้ขีดไฟจุดลงไปยังตะเกียงน้ำมัน ทันใดพื้นที่แคบ ๆ ของห้องนอนในกระท่อมก็สว่างวาบ วันนี้ร่างกายเธอมันเหนื่อยเสียจนอยากหลับ หนูดีฝืนใจสวมชุดเก่าใกล้ขาดในหีบแล้วรีบปูที่นอนกางมุ้งก่อนจะเดินไปกินกล้วยในเครือที่วางไว้สองลูกให้อิ่มท้อง กินน้ำแล้วทิ้งตัวหลับลงไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD