บท 7

1336 Words
เมืองสันต์ภพ ๗ เก็บเงินเสร็จก็ปล่อยให้พวกคนชั่วนอนบริจาคเลือดให้ยุงอยู่ชานกระท่อม ตอนนี้ร่างกายเธอเหนื่อยจนไม่อาจคิดอะไรต่อไปได้อีกไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาสะสางต่อ ทางด้านสิบหมื่นที่ยืนชมเหตุการณ์ดี ๆ มาตลอดกระตุกมุมปาก ไม่คิดว่าจะได้เห็นเรื่องน่าสนใจ ดีเหลือเกินที่วันนี้เขาตัดสินใจมาด้วยตัวเอง... “เลิกเสียสติแล้วสินะ” ร่างสูงโปร่งถือตะเกียงโบราณที่ถูกจุดไฟส่องนำทางเดินมุ่งหน้าไปยังกระท่อมหลังเก่าหลังนั้นด้วยท่าทางไม่รีบร้อน เมื่อเดินขึ้นไปยังกระท่อมเจอชายทั้งสี่โดนมัดอยู่สภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาเพียงใช้เท้าเขี่ยเพื่อมองหน้ารายตัว หลังจากจดจำใบหน้าทั้งสี่ไว้ในสมองขาเรียวยาก็ก้าวเข้าไปในกระท่อมอย่างเปิดเผยไม่คิดจะพรางตัว เหตุใดจึงต้องหลบซ่อนในเมื่อหญิงสาวที่อยู่ในกระท่อมคือภรรยาของเขาในอนาคต เดินเข้าไปพบร่างผอมบางนอนห่มผ้าหันหลังให้เขาก็ดับไฟตะเกียงทันทีเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อน ทางด้านหนูดีได้ยินเสียงฝีเท้าตั้งแต่คราแรก ทั้งที่เธอล็อกประตูแล้วไม่คาดคิดว่าจะมีคนปลดล็อกเข้ามาได้ง่ายถึงเพียงนี้ เธอพยายามแกล้งหลับให้แนบเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรอจังหวะโต้กลับ สิบหมื่นเมื่อเปิดประตูเข้ามาได้ก็ปิดไว้ดังเดิมก่อนจะถือวิสาสะเปิดมุ้งเข้าไป ย่อตัวนั่งลงก่อนจะวางตะเกียงไว้ด้านข้าง ได้ยินเสียงหายใจไม่สม่ำเสมอเขาก็รู้ได้ทันทีว่าหนูดียังไม่หลับ “เลิกแกล้งหลับแกล้งบ้าได้แล้ว พี่เห็นหมดแล้ว” มือหนายื่นมือไปแตะหน้าผากตรวจวัดอุณหภูมิ เขาพบเพียงความอุ่นชั่วขณะก็โดนมือเล็กดึงล้มลงไปกับที่นอนแล้วคร่อมกดเขาไว้ข้างล่างด้วยความเร็วเพียงเสี้ยววินาที มือเล็กนุ่มนิ่มบีบคอเขาแน่ เด็กนี่ไม่ปรานีเขาเลยแม้แต่น้อยทว่าเขากลับสนใจการเคลื่อนไหวของเธอมากกว่า “เร็วดีนี่ แสดงว่าไม่ได้ป่วยสินะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยชื่นชมแต่หนูดีกลับบีบคอของเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม “ใครจ้างแกมา?” “จุดตะเกียงดูก่อนไหมแล้วค่อยถาม” ไม่ต้องรอให้หนูดีได้เอ่ย แข็งแกร่งเรียวยาวก็ยื่นไปจุดตะเกียงกระป๋องของหนูดีที่อยู่ไม่ไกลโดยใช้มือเพียงข้างเดียว เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเห็นเพียงดวงตาคมสีนิลลุ่มลึกจับจ้องเธอไม่วางตา มือเล็กใช้มือข้างที่ว่างกระชากผ้าปิดหน้าลงทันที เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดั่งสวรรค์ปั้นแต่ง เรือนผมสีดำหนาเปิดหน้าผากโชว์คิ้วเข้มคมคาย กรอบหน้าเด่นชัดได้รูป จมูกโด่งรับกับริมฝีปากเย้ายวนกำลังระบายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “จำคู่หมายตัวเองไม่ได้หรือ?” เมื่อค้นความทรงจำพบว่าชายตรงหน้าคือคู่หมั้นของร่างเดิมทั้งยังมีอายุห่างกันถึงสิบสองปี ถึงจะหล่อแต่แก่แบบนี้เธอจำได้ว่าตนไม่เคยร้องเพลงขณะกินข้าวแน่นอน! ตาแก่เจ้าเล่ห์นี่ซุ่มดูเธอตั้งแต่ตอนจัดการสี่คนนั้นสินะ แล้วเหตุใดไม่มาช่วยเสียหน่อย นิสัยแย่เหลือคณา หนูดีนึกในใจก็รู้สึกขุ่นเคือง เป็นคู่หมั้นเธอแต่กลับปล่อยหนูดีร่างเดิมให้ตาย แรกพบก็ไม่ชอบหน้าเสียแล้ว! “น้ามาทำไม?” “น้าเรอะ!?” คิ้วหนาขมวดมุ่นทันทีก่อนจะรวบแขนเรียวบางทั้งสองข้างแล้วพลิกตัวดันร่างเล็กลงไปพร้อมกับคร่อมไว้ไม่ให้หนีไปไหน เด็กนี่กำลังดูถูกว่าเขาแก่ใช่หรือไม่? “ไม่เรียกน้าแล้วต้องเรียกอะไร?” “ใครเป็นน้องแม่เอ็ง!” ยิ่งได้ยินคำตอบของหนูดี สิบหมื่นยิ่งใบหน้ามืดครึ้มจนอยากสั่งสอนเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงให้หลาบจำ ปล่อยให้เขารอหลายจนแก่ยังมีหน้ามาล้อเขารึ!? “ก็น้าไง เป็นน้องแม่ข้าไม่กี่ปีไม่ใช่เหรอ?” “เด็กบ้านี่!!” “แก่แล้วยังไม่ยอมรับ…อุ๊บ!” ยังล้อเลียนไม่จบริมฝีปากหนาก็ประกบลงโดยที่เธอยังไม่แม้แต่จะตั้งตัว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงแต่คนที่ดูจะตกใจมากกว่ากลับเป็นชายที่พึ่งปิดปากสั่งสอน ดวงตาคมเข้มชะงักไปชั่วขณะเมื่อสัมผัสถึงสิ่งอ่อนนุ่มที่ริมฝีปาก ความนุ่มนิ่มนั้นกล่อมให้เขาค่อย ๆ ละเลียดชิมแผ่วเบามันทั้งหวานทั้งนุ่มจนหัวใจดวงโตเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยจูบสาวใดกลับมาวู่วามเพียงโดนล้อว่าแก่ เขาจึงแก้เก้อด้วยการบดเบียดริมฝีปากเล็กนุ่มนิ่มอีกสองทีสามทีแล้วผละออก “คราวหลังอย่าให้ร้ายว่าพี่แก่...” ใบหน้าคมคายกลอกตาเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกก่อนจะเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า เขาถึงกับเสียภาพลักษณ์นิ่งขรึมตลอดสามสิบสี่ปีเป็นครั้งแรก “…” ด้านหนูดียังไม่แม้แต่จะฟื้นคืนสตินิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สิบหมื่นหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจเมื่อเห็นดวงตากลมใสเบิกกว้างเหมือนโดนหยุดเวลา “หากล้อพี่อีกรอบหน้าเอ็งโดนยิ่งกว่านี้” “นะ…น้ากำลังทำผิดผีนะ” “ผิดเช่นไร?” “เป็นเพียงคู่หมั้นยังไม่แต่งจะมาล่วงเกินฉันแบบนี้ไม่ได้!!” ได้สติหนูดีก็โวยวาย ใบหน้าที่เคยขาวซีดเห่อร้อนแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ดวงตากระจ่างใสมองคนด้านบนด้วยสายตาคาดโทษ เกิดมายังไม่เคยมีมลทินแต่ตาแก่นี่กลับจูบเธอหน้าด้าน ๆ “ผีตนใดมันกล้ามีปัญหา ข้าจะหักคอมันเสีย” แววตาเคร่งขรึมกล่าวออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยขณะที่ลอบสำรวจคนด้านล่าง ดวงตากลมโตเป็นประกาย ใบหน้ารูปเมล็ดอัลมอนด์แพขนตางอนยาว ปากเล็กอมชมพูจมูกรั้นเข้ากับนิสัยที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ร่างกายผอมแห้งไปเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หนูดีคืนสติ เขาจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนแบ่งขนมตาลให้กินเธอยังเอาห่อขนมตาลปาใส่หัวเขาอยู่เลยหรือแกล้งบ้ามานานแล้ว “ออกไปนะ!” “เอ็งแกล้งบ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” “ฉันเป็นคนบ้า” “หึ คนบ้าที่ไหนจะบอกว่าตัวเองเป็นคนบ้า” มือหนาเชยคางมนเพื่อมองหน้าเด็กเจ้าเล่ห์ให้ชัด ก่อนจะไล่สำรวจอย่างพิจารณา ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นดูไม่ใช่คนโง่เขลาเลยแม้แต่น้อยทั้งยังดูฉลาดแกมเจ้าเล่ห์เสียด้วยซ้ำ ท่าทางดั่งเม่นน้อยที่พร้อมปล่อยหนามทิ่งแทงศัตรู “จิ! น้าออกไปเลยนะ ไม่งั้นฉันจะเรียกให้คนมาช่วย” “เรียกสิ จะมีใครได้ยิน?” “…” ปากเล็กยู่งอนด้วยความสิ้นฤทธิ์ กับสี่ตัวนั้นเธอจัดการได้สบายแต่ทำไมตาแก่เพียงคนเดียวถึงพลังเยอะเพียงนี้ เธอพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดแกะมือตัวเองออกแต่ทำยังไงก็ไม่หลุด ร่างหนาใหญ่คร่อมทับจนเธอดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ “ว่าไง เอ็งแกล้งบ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” “ไม่บอก!” “หากไม่บอกข้าจะไปฟ้องผู้นำเชิดเสียว่าเอ็งหายบ้าแล้ว” “ไม่ได้นะ!!” หนูดีรีบตะโกนทัดทานทันที หากผู้นำเชิดรู้ว่าเธอหายบ้าการแก้แค้นจะยิ่งยากขึ้นไปอีกฉะนั้นเธอจะโดนเปิดโปงตอนนี้ไม่ได้ “งั้นก็ตอบมา” “ฉัน...พึ่งหายบ้าเมื่อตอนตกน้ำ” “งั้นหรือ?” ทั้งสองสอบตาไม่มีใครยอมใคร อีกคนกะพริบปริบ ๆ แสร้งใสซื่อ อีกคนมองนิ่งค้นหาคำตอบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD