หมินเสี่ยวเทียนยิ้มมุมปาก “ข้าจะบอกทุกอย่าง ก็ต่อเมื่อคุณหนูรองรับปากจะแต่งให้ข้า”
“เจ้าไม่คิดว่าตัวเองหวังสูงไปหน่อยหรือ”
“ข้าคิดว่าตัวเองคู่ควร”
หน้าหนาจริงๆ หน้าหนาเกินไปแล้ว
“ครอบครัวข้าคงไม่ยินยอมให้ข้าแต่งกับบ่าวเช่นเจ้า”
“งั้นข้าจะพาคุณหนูหนี”
“เจ้าจะบ้าหรือไง!”
ฉิงหนิงอวี่เริ่มปวดหัวกับคำตอบกวนโมโหของบุรุษ ไม่ว่านางคิดหาเหตุผลใดมาพูด หมินเสี่ยวเทียนก็จะโต้กลับอย่างหน้าไม่อายทุกครั้ง
ฉิงหนิงอวี่จ้องใบหน้าเคร่งขรึมอยู่สักพัก เห็นว่ายามแต่งกายสะอาดสะอ้านและเกล้าผมเรียบร้อยช่างดูน่ามองนัก
ยามหมินเสี่ยวเทียนแฝงตัวเป็นบ่าวของจวนเซี่ย เขาพยายามอำพรางใบหน้าให้สกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง อีกทั้งเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยบาดแผลและดินโคลนทั้งตัว
“มองข้าตาไม่กะพริบ เพราะข้าหล่อใช่หรือไม่”
ฉิงหนิงอวี่ตาเบิกกว้าง อ้าปากอยากด่าอะไรสักคำ ทำไมบุรุษผู้นี้ถึงได้หน้าหนาทั้งยังหลงตัวเองได้ถึงเพียงนี้!
“ว่าอย่างไร ชอบข้าตอนนี้หรือไม่” หมินเสี่ยวเทียนอาศัยจังหวะที่ฉิงหนิงอวี่นิ่งอึ้ง เขยิบตัวเข้าใกล้และก้มลงกระซิบที่ข้างหูเล็ก
ฉิงหนิงอวี่เขินจนหน้าแดง ครั้นนางเงยหน้าขึ้นก็ถูกจู่โจมด้วยจุมพิตร้อนแรงทันที สัมผัสอุ่นร้อนเข้าแทรกแซง ดูดกลืนความหวานอย่างหิวกระหาย มือใหญ่รั้งท้ายทอยของหญิงสาวไม่ให้ถอยหนี บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นเพื่อรับรู้ความรู้สึกปรารถนาของเขา
เป็นอีกครั้งที่เรือนร่างของนางถูกชายผู้นี้ลวนลาม หมินเสี่ยวเทียนโน้มตัวลงไปด้านล่าง มองเท้าเล็กที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวจากนั้นลูบมือลงที่ฝ่าเท้านั้นเบาๆ
“เท้าเป็นอย่างไรบ้าง หายเจ็บหรือยัง”
“ยุ่งอะไรด้วย”
มุมปากบุรุษกระตุก เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมสายตากรุ้มกริ่ม “เหตุใดถึงพยศนัก ถามดีๆ ตอบดีๆ ไม่ได้หรือ”
“ข้าไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจ”
“ข้าไม่ได้เห็นใจแต่เป็นห่วง”
ฉิงหนิงอวี่นิ่งชะงัก จ้องตาหมินเสี่ยวเทียนด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ เฉกเช่นเดียวกับหมินเสี่ยวเทียนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งรุนแรงต่อฉิงหนิงอวี่
บุรุษเบียดเสียดและบีบเคล้นทรวงอกอวบโดยไม่ขออนุญาต เสื้อตัวนอกถูกดึงออกเผยให้เห็นตู้โตวสีชมพูอ่อนที่ห่อหุ้มสองเต้างามไว้
“อื้อออ เจ้าจะทำ...”
ในเมื่อประกาศว่าอยากแต่งกับนาง หมินเสี่ยวเทียนก็ไม่เกรงกลัวที่จะฝากฝังร่องรอยความเป็นเจ้าของเจ้าของบนตัวของว่าที่ภรรยา ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าเขายิ่งยกยิ้มชอบใจ ทรมานฉิงหนิงอวี่หนักขึ้น
โชคดีที่ผนังของรถม้าค่อนข้างหนาและกักเก็บเสียงร้องได้ดี มิเช่นนั้นคงทำเหล่าชาวบ้านที่เดินไปเดินมาตื่นตกใจเป็นแน่
ด้านนอกตัวรถมีเพียงคนขับรถม้ายืนพริ้วปากอย่างอารมณ์ดี แม้ภายนอกไว้หนวดเคราดูคล้ายชายแก่คนหนึ่ง แต่แท้จริงชายคนนี้เป็นถึงองครักษ์ฝีมือดีของวังหลวง
องครักษ์หันมองไปรอบๆ คล้ายเฝ้าสังเกตความปลอดภัย สายตาเขาไปสะดุดกับสตรีนางหนึ่งที่เดินหายเข้าไปในตรอกมืดข้างร้านยาสมุนไพร ใจอยากตามไปดู แต่ก็ไม่อาจละทิ้งเจ้านายที่กำลังสำเริงสำราญได้จึงต้องยืนหยัดทำหน้าที่ของตนต่อ
สตรีท่าทางลับๆ ล่อๆ เดินย่องเข้าไปใกล้บุรุษที่ยืนกอดอกฟึดฟัดหงุดหงิดอยู่ เอ่ยทักเสียงหวาน “คุณชายเซี่ย”
“ช้าจริง มัวทำอะไรอยู่”
“เหตุใดต้องรีบร้อน กว่าข้าจะหาข้ออ้างออกมาจากร้านได้ก็แทบแย่”
เซี่ยเย้าเต๋อหันมามองหญิงสาวที่ก้มหน้าคล้ายจะร้องไห้พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ซุ่ยซิงจิง เจ้าคงไม่ได้แสดงพิรุธอะไรให้หนิงอวี่จำได้ใช่หรือไม่”
“พิรุธ? ไม่แน่นอน คุณชายสัญญากับข้าแล้วว่าจะรับข้าเป็นอนุของท่าน แล้วทำไมข้าถึงจะต้องทำตัวให้ต้องลำบากด้วยเล่า”
สำหรับบุตรสาวร้านขายผ้า การได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในอนุภรรยาของตระกูลใหญ่นับว่าโชคดีเหลือเกินแล้ว
“แล้วเหตุใดนางถึงปฏิเสธจะแต่งให้ข้าเล่า”
ซุ่ยซิงจิงนิ่งไป ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาคือความประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจช้าๆ
คุณหนูรองปฏิเสธงานแต่ง ก็เท่ากับว่านางจะได้เป็นสตรีเพียงคนเดียวของเซี่ยเย้าเต๋อ มีโอกาสขึ้นเป็นฮูหยินของจวนเซี่ยด้วยใช่หรือไม่!?
ซู่ยซิงจิงพยายามเก็บความดีใจไว้ เอ่ยอย่างเห็นใจว่า “คุณชายเซี่ยอย่าเพิ่งคิดมาก ข้าว่าบางทีคุณหนูรองอาจจะยังไม่คุ้นชิดกับท่าน ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่านางไปเที่ยวงานเลี้ยงที่จวนท่านโหว ไม่แน่ว่าอาจจะยังติดเที่ยวเล่นเลยไม่อยากออกเรือน”
เซี่ยเย้าเต๋อหรี่ตาขบคิดตามคำพูดของซุ่ยซิงจิง ก่อนจะผงกศีรษะช้าๆ “เป็นไปได้ ตระกูลฉิงเหลือนางคนเดียวที่ยังไม่ออกเรือน คุณหนูที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวย่อมถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม นิสัยคงเอาแต่ใจไม่น้อย”
เห็นบุรุษอารมณ์เย็นลงแล้ว ซุ่ยซิงจิงจึงเดินไปกอดแขนเขาอย่างออดอ้อน “คุณชายเซี่ย นานแล้วนะเจ้าค่ะที่พวกเราได้มีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกันเลย”
“งั้นหรือ”
คางเรียวถูกช้อนขึ้น สายตาหื่นกระหายจ้องมองใบหน้าหวานละมุนราวต้องการจะกลืนกินนางเสียตอนนั้นเลย
“อยากไปหาอะไรกินกับข้าก่อนกลับหรือไม่เล่า”
ดวงตาซุ่ยซิงจิงเป็นประกาย เอ่ยกระซิบอย่างเย้ายวน “ข้ายินดียิ่งนัก”