ฉิงหนิงอวี่ไม่อาจคาดเดาความต้องการของหมินเสี่ยวเทียน เขาต้องการอะไร เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นกับนาง
เพราะหากแค่จูบ อาจเดาได้ว่าเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบที่พิศวาสในตัวนาง
หมินเสี่ยวเทียนมีใจคิดไม่ซื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ตอนฉิงหนิงอวี่แต่งเข้าสกุลเซี่ย เขาก็ยังหมายปองในตัวนางอย่างไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี พอมาคราวนี้นางยังเป็นสาวโสดไร้พันธะ มีหรือเขาจะหักห้ามใจได้
แต่ว่า... ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำสัญญาเช่นนั้น หรือเขาอยากจะแต่งกับนางจริงๆ งั้นหรือ
“คุณหนู คุณหนู!”
ฉิงหนิงอวี่สะดุ้ง รีบหันไปมองทางเจียอีที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น “อะไรของเจ้า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”
“บ่าวเรียกคุณหนูตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ”
“...ข้าคงเหม่อมากไปหน่อย มีอะไรเล่า”
โชคดีที่เมื่อวานทั้งใต้เท้าฉิงและฉิงฮูหยินเดินทางเข้าวังกะทันหัน อาจเพราะมีข่าวลือไม่ชอบมาพากลทำสองสามีภรรยานั่งไม่ติดเก้าอี้กระมัง
ฉิงหนิงอวี่จึงโชคดีสามารถปกปิดเรื่องที่ตนถูกหมินเสี่ยวเทียนลักพาตัวไปได้ แม้แต่เจียอียังถูกฉิงหนิงอวี่ปั้นเรื่องหลอกจนสาวใช้ผู้ทึ่มทื่อไม่ติดใจสงสัยอะไร
“คุณชายเซี่ยมาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาฉิงหนิงอวี่ดำทะมึนลงทันที “ทำกับข้าขนาดนั้น ยังกล้าจะมาขอพบอีกหรือ”
“แม้บ่าวเคยชื่นชมคุณชายเซี่ย แต่จากที่เขาปล่อยคุณหนูต้องเดินขาลากกลับเอง บ่าวก็หมดศรัทธาในตัวคุณชายเซี่ยแล้ว”
ฉิงหนิงอวี่หัวเราะในลำคอ “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้าเองก็หมดศรัทธาในความรักมานานแล้วเหมือนกัน”
ฉิงหนิงอวี่หลับตาพรูลมหายใจ จากนั้นออกมาพบหน้าคู่หมั้นอย่างไม่เต็มใจนัก เอ่ยเสียงเย็นชา “คุณชายเซี่ยมีธุระอะไรหรือ”
เซี่ยเย้าเต๋อลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาหาฉิงหนิงอวี่ ทว่าหญิงสาวก็รีบถอยหลังเพื่อไม่ให้เขาเข้าถึงตัว
“ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่กลับมา หากคุณชายมีเรื่องจะคุยกับพวกท่านคงต้องมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”
“ข้าอยากมาขอโทษเจ้า ข้าหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ไม่ได้เจตนา...”
“ข้าเข้าใจ ไม่ต้องขอโทษหรอก”
“เจ้าทำข้าโกรธจนขาดสติ พอข้าอารมณ์เย็นก็รีบให้คนวนรถกลับไปรับเจ้า แต่ไม่พบเจ้าอยู่ตรงนั้นแล้ว”
ฉิงหนิงอวี่เงยหน้ามองเซี่ยเย้าเต๋อตาเขม็ง เค้นเสียงหึออกมาเบาๆ “สุดท้ายท่านก็โทษข้าอยู่ดี ไม่เคยโทษตัวเองเลยสักครั้ง ไม่เคยยอมรับผิด”
เพราะเจ้าสนองข้าไม่พอ ข้าจึงต้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน
เพราะเจ้าให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ข้าจึงต้องรับอนุภรรยา
และเพราะเจ้าร้ายกาจ ข้าจึงหมดรักเจ้า
ทุกความผิด...จะต้องเป็นฝ่ายฉิงหนิงอวี่เป็นผู้แบกรับ นางไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ไม่มีสิทธิ์แก้ต่างให้ตัวเอง นางเหมือนถังใส่ขยะที่ทุกคนล้วนขว้างปาสิ่งสกปรกใส่นาง
“เด็กๆ ส่งคุณชายเซี่ย!”
ฉิงหนิงอวี่ไม่ฟังคำโวยวายจากบุรุษแต่อย่างใด นางสะบัดผมและเดินออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
เจียอีรีบวิ่งตามคุณหนูของตนไปติดๆ แต่แล้วฉิงหนิงอวี่กลับหยุดเดินกะทันหันจนเจียอีเกือบหยุดฝีเท้าไม่ทัน
“ไม่ต้องตามข้า เจ้ารีบกลับไปพักและหายาทาเท้าเสียด้วย”
เมื่อวานเจียอีวิ่งตามม้าของหมินเสี่ยวเทียนอย่างสุดกำลัง ปากร้องตะโกนให้คนแถวนั้นช่วยเหลือ ทว่าม้าเร็วนั่นผ่านไปเร็วจนชาวบ้านมองไม่เห็นฝุ่นจึงไม่มีใครเร็วพอจะช่วยสกัดหมินเสี่ยวเทียนให้นางได้
กระทั่งเจียอีหมดแรงจะไล่ตามจึงยอมเดินกลับจวนเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ แต่เมื่อเดินมาถึงกลับพบฉิงหนิงอวี่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เจียอีในตอนนั้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง กอดฉิงหนิงอวี่แน่น ทั้งดีใจและโล่งใจ พอได้ยินฉิงหนิงอวี่เล่าให้ฟังว่าทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด ชายผู้นั้นจึงพานางกลับมาส่งที่จวนเป็นการขอโทษ
แน่นอนว่าเจียอีเชื่อคุณหนูของตนอย่างสนิทใจ
“เท้าเจ้าเป็นแผลมากกว่าข้า ไม่ควรเดินหรือวิ่งไปทั่วแบบนี้”
“แต่บ่าวเป็นบ่าวของคุณหนู”
“เช่นนั้นก็ควรฟังคำสั่งข้า ไปพักซะ”
ฉิงหนิงอวี่สั่งเสียงเด็ดขาด เจียอีจึงจำใจเดินคอตกกลับไปพักที่เรือนพักของตน
ฉิงหนิงอวี่หันซ้ายแลขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น นางก็เดินอ้อมไปทางประตูหลังของจวน ซึ่งโดยปกติประตูหลังจะมีไว้ให้บ่าวชายขนของหรือนำขยะออกไปทิ้ง
หญิงสาวแง้มประตูออก มองเห็นรถม้าสีดำจอดรออยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าและปีนขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว
“ดีใจที่คุณหนูยอมออกมาพบข้า” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยขึ้นราวเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่
“ข้าก็ไม่ได้อยากมา หากแต่ยังมีข้อสงสัย”
หมินเสี่ยวเทียนผายมือเชิญฉิงหนิงอวี่มานั่งข้างตน
หญิงสาวเชิดหน้า ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าไปนั่งตามคำเชิญ สายตามองสำรวจภายในตัวรถอย่างฉงนสงสัย เพียงเห็นผนังรถที่คล้ายมีลวดลายและประกายทองอยู่รางๆ ก็พอเดาถึงมูลค่าของมันได้
พื้นรถถูกปูด้วยพรมหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ที่นั่งก็มีผ้านวมหนาและหมอนอิงสบายวางอยู่ด้วย
มันชักจะไม่ธรรมดาแล้ว ฉิงหนิงอวี่ลอบคิด
“เจ้าเป็นใครกันแน่”