แม้จะพยายามเลี่ยงการพบหน้ากันมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พ้นต้องเจอหน้ากันในสักวัน
ฉิงหนิงอวี่สวมชุดฮั่นฟูสีชมพูอ่อนดูเรียบร้อยและสง่างามในคราวเดียว ใบหน้างดงามของหญิงสาววัยแรกรุ่นให้ความรู้สึกน่าทะนุถนอมดั่งเครื่องแก้วบอบบางที่สัมผัสมากมิได้ สวนทางกับดวงตาเรียวดั่งเมล็ดซิ่งที่ดูนุ่มลึกนิ่งสงบคล้ายคนอายุสามสิบ
“ทำตัวดีๆ อย่าก่อเรื่องเชียว” ฉิงฮูหยินเอ่ยก่อนจะก้าวลงจากรถม้า ฉิงหนิงอวี่สูดหายใจเข้าลึกและค่อยก้าวลงตามมารดา
“ฉิงฮูหยินและคุณหนูรอง เชิญทางนี้ขอรับ” เด็กรับใช้นำทางสองแม่ลูกเข้าไปในงานเลี้ยงซึ่งจัดอยู่ภายในเรือนหลังใหญ่
เสียงพูดคุยกล่าวทักทายทำฉิงหนิงอวี่รู้สึกอึดอัดขึ้นมา นางเคยชอบงานสังสรรค์และการเข้าสังคม แต่เพราะผ่านอะไรมาเยอะทำให้ความรู้สึกของนางด้านชาและคิดว่าหามิตรแท้ยากกว่าขุดหาทองในบ่อโคลนเป็นร้อยเท่า
“คุณหนูรองฉิง” สตรีหลายนางพากันเดินเข้ามาพูดคุยและกล่าวยินดีในงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณหนูตระกูลหนึ่งเดินเข้ามาคล้องแขนฉิงหนิงอวี่ พานางเดินเข้าไปในสวนที่มีโต๊ะหินขนาดใหญ่และเล็กวางเรียงราย ส่วนนี้เป็นส่วนที่บรรดาหนุ่มสาวนั่งจับกลุ่มพูดคุย บ้างหว่านเสน่ห์ส่งสายตาเชิญชวนอย่างมีชั้นเชิง
บุรุษผู้หนึ่งยืนโดดเด่นมาแต่ไกล เขาสวมใส่ชุดขาวคล้ายบัณฑิต วางท่าทีสุขุมดั่งนักปราชญ์ผู้มากความรู้ ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ชวนมอง ยามเขายิ้มช่างดูอ่อนโยนและน่าเข้าหายิ่ง
“หนิงอวี่หรือ” ชายคนนั้นหันมาทักฉิงหนิงอวี่ทันทีที่เห็นนางเดินเข้ามา
ฉิงหนิงอวี่ค้อมศีรษะแต่ไม่ได้เอ่ยทักตอบ นางมองไปรอบๆ เห็นสตรีมากหน้ายืนรายรอบตัวบุรุษก็นึกสมเพชตัวเองที่ตอนนั้นคิดภูมิใจว่าตนได้แต่งกับบุรุษซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบที่สุดในเมืองหลวง
“ไม่เจอกันหลายปี เจ้าดูเปลี่ยนไปนะ ดูโตขึ้นมาก”
“คงงั้น ข้าก็รู้สึกตัวเองโตขึ้น มองเห็นทุกอย่าง...ชัดยิ่งขึ้นด้วย”
เซี่ยเย้าเต๋อหรี่ตามองคู่หมั้นด้วยความฉงนในท่าทีของนาง ปกติฉิงหนิงอวี่ก็ไม่ต่างอะไรกับสตรีที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ หลงใหลและชอบเข้ามาใกล้ชิดเขาอยู่เสมอ
ทว่าตอนนี้นางกลับทำตัวเฉยชาและห่างเหินพิกล
“คุณชายเซี่ย คุณหนูรอง เซี่ยฮูหยินเชิญท่านทั้งสองไปพบขอรับ”
ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเซี่ยเย้าเต๋อ แต่จุดประสงค์แอบแฝงก็เพื่อประกาศการหมั้นหมายของทั้งสองตระกูลและวางฤกษ์งานแต่ง
ฉิงหนิงอวี่คำนับเซี่ยฮูหยินตามมารยาท แต่หางตาไม่เหลือบแลมองนางแต่อย่างใด
“วันนี้เป็นวันดีจริง ลูกชายกลับบ้าน ซ้ำยังจะมีลูกสะใภ้แต่งเข้าสกุลเซี่ย”
ฉิงหนิงอวี่กำหมัดแน่น รังเกียจสุ้มเสียงที่คล้ายจะฟังดูหวังดีของว่าที่แม่สามีนัก นึกถึงตอนนางแต่งเข้าสกุลเซี่ย ฉิงหนิงอวี่เฝ้าปฏิบัติดูแลแม่สามีดั่งมารดาผู้ให้กำเนิด แต่พอเกิดปัญหาไม่เพียงไม่เข้าข้าง ซ้ำยังดุด่านางว่านางนั้นเป็นสตรีใจแคบเสียอีก
แขกทุกคนเดินออกไปยืนอยู่ด้านนอกตรงลานกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้ทั้งสองตระกูลได้ตกลงหารือกันเรื่องงานแต่งได้สะดวก
“อีกสองเดือน เซี่ยฮูหยินเห็นว่าอย่างไร” ฉิงฮูหยินเสนอความคิดพร้อมยื่นกระดาษที่เขียนวันเวลามงคลไว้ “มีสามวันเป็นฤกษ์ที่ดียิ่ง เซี่ยฮูหยินลองดูก่อน”
“ดีมากจริงๆ ฉิงฮูหยินช่างรอบคอบ เตรียมการฉับไวดีแท้”
“กล่าวชมเกินไปแล้ว ต้องขอบคุณเซี่ยฮูหยินที่รักใคร่เอ็นดูหนิงอวี่ถึงจะถูก”
ฉิงหนิงอวี่กลอกตามองบน ตอนนี้ช่างสมานฉันท์สามัคคีกันเหลือเกิน ลองเกินปัญหาดูสิ แทบจะกระโดดบีบคอกันเลยด้วยซ้ำ
เหตุการณ์หนึ่งที่ฉิงหนิงอวี่จำได้ฝังใจ คือวันที่เซี่ยเย้าเต๋อพานางเข้าไปพบกับท่านอาหรือก็คือสนมเซี่ยในวังหลวง ฉิงหนิงอวี่วางตัวและกระทำทุกอย่างด้วยท่าทีอ่อนช้อยดั่งกุลสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี
ทว่าสนมเซี่ยและนางกำนัลทุกคนกลับหัวเราะเยาะและกล่าวว่านางนั่นจืดชืดและไร้เสน่ห์ชวนมอง ไม่แคล้วคงได้ถูกสามีเบื่อหน่ายและถอดทิ้งเป็นแน่
ฉิงหนิงอวี่นั้นโกรธมาก นางร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะไม่อาจต่อกรกับสนมเซี่ยผู้มียศสูงศักดิ์กว่าตน แม้ไม่ตอบโต้แต่ก็หาทางหลบหลีก ไม่ยอมให้ตนถูกรังแกโดยง่ายเช่นกัน แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้นางกำนัลคนสนิทของสนมเซี่ยบาดเจ็บแทน
‘กล้าทำร้ายคนของข้า! เด็กๆ ลากนางออกไปโบยห้าสิบไม้!’
วันนั้น...ช่างเป็นวันที่แสนเจ็บปวดและทรมานสำหรับฉิงหนิงอวี่อย่างมาก
ญาติสามีไม่รักเอ็นดู ซ้ำยังกลั่นแกล้งนาง
สามีไม่ยืนหยัดต่อสู้หรือปกป้องนางแต่อย่างใด
แม่สามีเบือนหน้าหนี ต่อว่านางว่าโง่เขลาและอ่อนแอ
ส่วนครอบครัวของฉิงหนิงอวี่เอง...ก็ยึดคติลูกสาวแต่งออกไปแล้ว ไม่ขอรับรู้ยุ่งเกี่ยว
ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่ว่าหันไปทางไหนก็ไร้ที่พึ่งพา หมาที่จนตรอกจำต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าหนทางที่ตนเลือกทำนั้นชั่วร้ายเลวทรามเพียงใดก็ตาม
“ท่านป้าเจ้าคะ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ข้าอยากจะให้คุณชายเซี่ยไปช่วยข้าเลือกผ้าสำหรับใช้ตัดชุดในงานพิธีได้หรือไม่เจ้าคะ” ฉิงหนิงอวี่กล่าวขอด้วยความนอบน้อม
“ทำไมต้องไปรบกวนคุณชายด้วย วันก่อนข้าก็ให้ช่างเสื้อมาวัดตัวเจ้าพร้อมเลือกแบบผ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ” ฉิงฮูหยินว่าพลางส่งสายตาดุให้บุตรสาว ภาวนาอย่าให้นางคิดทำการใดให้เป็นที่ขายหน้าอีก
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ว่า...ข้าอยากให้วันสำคัญของข้าเป็นวันที่น่าจดจำที่สุด อยากให้คุณชายเซี่ยมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วย”