“คุณหนูท่านนี้มาจากตระกูลใดหรือ เหตุใดถึงต้องปกปิดใบหน้าด้วยเล่า” พ่อบ้านใหญ่ของจวนเดินเข้ามาทักสตรีที่แต่งกายชุดแดงโดดเด่นเกินใคร ทว่ากลับไม่ยอมเผยใบหน้าของตนให้เห็น
เหมือนอยากทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่ขณะเดียวกันก็ซ่อนความลับบางอย่างไว้ ดูไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง
“ข้าอยากพบท่านโหว” เสียงหวานเอ่ยอย่างวางมาด ท่าทีหยิ่งยโสของนางทำให้พ่อบ้านใหญ่ไม่พอใจนัก
“เจ้าต้องบอกชื่อแซ่มาก่อนจึงจะเข้าพบท่านโหวได้ มิเช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้เข้าพบ...”
ฉิงหนิงอวี่ยื่นถุงเงินแก่พ่อบ้าน ทำเขาตาโต พูดจาติดขัดทันที “เอ่อ...ถึงอย่างนั้น ข้าก็ต้องไปเรียนท่านโหวก่อน”
พ่อบ้านคว้าถุงเงินเข้าเก็บไว้ในอกเสื้อ ก่อนหมุนตัวเดินตรงเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ ที่ซึ่งรวมเหล่าชนชั้นสูง หญิงงามและอบายมุขทั้งปวงไว้ด้วยกัน
ฉิงหนิงอวี่หันหน้าไปยังสวนเบื้องหน้า สองขาก้าวไปหยุดยืนที่หน้าแปลงบุปผางาม ก้มมองดอกจวี๋ฮวาสีเหลืองอร่ามด้วยแววตามุ่งมั่นอยู่นานครู่ใหญ่
“คุณหนูท่านนั้น ท่านโหวอนุญาตให้เข้าพบที่เรือนเล็กทางด้านหลัง!”
ได้ยินพ่อบ้านตะโกนบอก ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มพร้อมผงกศีรษะรับรู้
พ่อบ้านเดินนำฉิงหนิงอวี่มาที่เรือนที่ลับสายตาผู้คน จากนั้นอวยพรให้นางโชคดี เพราะหากปรนนิบัติท่านโหวจนถึงใจได้ เขาอาจรับนางเข้ามาเป็นอนุคนที่ห้าของจวนโหว เท่ากับโชคใหญ่หล่นทับ นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติ
ประตูบานเล็กถูกเปิดออกช้าๆ พร้อมสตรีโฉมสะคราญในอาภรณ์สีแดงเพลิงก้าวเข้ามาภายใน
เจิงเฮ่าโหวที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วนิ่งชะงักในทันที ความงามของสตรีนางนี้ช่างถูกใจเข้านัก คราแรกเพียงนึกชอบใจในความกล้าของนางที่เรียกหาเขาอย่างเปิดเผย คิดจะสนองความต้องการของนางสักหน่อย แต่ทว่า...นี่มันเพชรเม็ดงามมิใช่หรือ!
“สตรีส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ จะแบ่งออกเป็นสองจำพวก หนึ่งคือลูกผู้ดีมีเงิน แต่กำเนิดจากอนุภรรยาหรือสาวใช้ภายในจวน ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้หากปราศจากสามีดีๆ ช่วยหนุนนำ
และสองคือหญิงนางโลมที่หวังจะกอบโกยเงินทองจากบุรุษร่ำรวย ไม่คำนึงถึงศีลธรรมถูกผิด ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นสตรีจำพวกไหนกันหรือ”
เจิงเฮ่าโหวจัดว่าเป็นบุรุษหน้าตาดี รูปร่างสันทัดไม่สูงหรือเตี้ยจนเกินไป ยิ่งสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงยิ่งยกระดับให้เขาดูคล้ายองค์ชายคนหนึ่งของฮ่องเต้ก็มิปาน
เว้นดวงตาแสนเจ้าเล่ห์ ที่ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เข้าตาฉิงหนิงอวี่อย่างแรง
มือเล็กยกขึ้นปลดผ้าคลุมหน้าออก ก่อนสีหน้าตื่นตกใจจะค่อยปรากฏขึ้นที่หน้าของฝ่ายชาย
“คุณหนูรองฉิง!”
ฉิงหนิงอวี่ยิ้มน้อยๆ “ตกใจขนาดนั้นเลยหรือท่านโหว”
“...” เจิงเฮ่าโหวนิ่งอึ้งจนกล่าวคำใดไม่ออก เหตุใดคุณหนูตระกูลฉิงจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน!?
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าตระกูลฉิงเย่อหยิ่งและถือตนเกินผู้ใด มีความสนิทเชื้อกับราชวงศ์มานานหลายสิบปี ทั้งบุตรชายและสาวต่างได้ตบแต่งกับตระกูลดังที่มีอำนาจมากในราชสำนัก
รวมทั้งฉิงหนิงอวี่เองก็เป็นถึงคู่หมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลเซี่ย ตระกูลขุนนางเก่าแก่ซึ่งน้องสาวของใต้เท้าเซี่ย หรือก็คือท่านอาของเซี่ยเย้าเต๋อเป็นหนึ่งในสนมคนโปรดของฮ่องเต้
“เหตุใดคุณหนูรองถึง...”
“ข้าเพียงอยากมาร่วมฉลองงานวันเกิดให้ท่าน”
เจิงเฮ่าโหวหัวเราะคำโต “นานทีปีหน ตระกูลฉิงจึงจะมาเหยียบที่จวนข้า กะอีแค่งานเลี้ยงวันเกิด คงไม่คิดลงแรงหรอกกระมัง”
“ถูกต้อง ท่านโหวมองออกทะลุปรุโปร่งนัก” ฉิงหนิงอวี่ล้วงหยิบแผ่นกระดาษใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อพลางยื่นให้เจิงเฮ่าโหวด้วยท่าทีสุภาพ
“นี่มันแผนที่หรือ”
“ข้ารู้มาว่าท่านโหวมีที่ดินอยู่ตามชนบทหลายแห่งจึงอยากขอซื้อต่อท่านสักยี่สิบหรือสามสิบไร่ แล้วแต่ท่านจะแบ่งขาย”
“คุณหนูรองอยากได้ที่ดินแห้งแล้งไปทำไมกัน จะทำการเกษตรหรือ ข้าว่าคนไม่มีความรู้เช่นท่านไม่น่าทำได้หรอกนะ”
“ท่านโหวจะดูแคลนข้าเกินไปกระมัง เรื่องที่ข้าจะซื้อที่ดินไปทำไม หาใช่เรื่องที่ต้องบอกท่าน ท่านเพียงขายให้ข้าก็พอ”
เจิงเฮ่าโหวลูบคางครุ่นคิดอยู่สักครู่ ชำเลืองมองสตรีเบื้องหน้าอย่างพินิจวิเคราะห์ว่านางมารน้อยผู้นี้คิดวางแผนอะไรอยู่หรือไม่
ไม่ใช่ว่าเจิงเฮ่าโหวไม่เคยเจรจาทางการค้ากับสตรี ทว่าทุกครั้งเขาจะต้องรู้รายละเอียดที่มากกว่านี้อีกสักหน่อย เป็นต้นว่าจุดประสงค์ที่ฉิงหนิงอวี่ต้องการที่ดินนั้นเพื่อการใด
แต่เจิงเฮ่าโหวก็หาใช่คนโง่เง่าที่แยกแยะไม่ออกว่าควรตะครุบชิ้นเนื้อหรือคลายทิ้งให้เสียของ เขาจึงคิดอยากต่อรองกับนางมากกว่าจำนวนเงิน
“คุณหนูรองจะให้ราคาข้าเท่าไหร่”
“มากกว่าที่ท่านจะนึกถึง อย่างการยืมกำลังพลทหารสักสองร้อยนายเป็นอย่างไร”
เจิงเฮ่าโหวผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาจิ้งจอกของเขาเป็นประกายแวบวาบบ่งบอกว่าสนใจในสิ่งที่ฉิงหนิงอวี่กล่าวเมื่อครู่
“ท่านคงไม่คิดกลับคำทีหลังใช่หรือไม่”
“พี่ชายคนโตของข้าเป็นถึงราชบุตรเขยฮ่องเต้ ส่วนพี่สาวตบแต่งกับแม่ทัพใหญ่ที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่าน ท่านโหวคิดเอาเองแล้วกันว่าข้าจะสามารถทำได้อย่างที่พูดได้หรือไม่”
น้ำเสียงเย็นเยียบกล่าวอย่างมีชั้นเชิง ใบหน้านิ่งสงบดูสุขุมเกินอายุ เจิงเฮ่าโหวนั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและสายตาบีบบังคับของนาง ทำเขาเกิดผงะเป็นชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ข้าตกลง”