“เหตุใดฮุ่ยเจินถึงยังไม่มาอีก ข้าส่งคนไปตามตั้งนานสองนานแล้ว?”ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลานมีอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
ตอนนี้ราชโองการนั้นอยู่ในมือของหลานยี่หลง สายตาของนายอำเภอแห่งเมืองโจวถิงเต็มไปด้วยหลากหลายคำถาม
‘เหตุใดจึงเป็นบุตรสาวของสกุลหลาน?’ ผู้คนทั้งแคว้นต่างก็รับรู้กันโดยทั่วว่าท่านอ๋องแปด ไป๋เฟยหมิงนั้นหน้าตาอัปลักษณ์จนต้องคอยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก ไม่ค่อยออกมาพบปะผู้คนสักเท่าไหร่ ยกเว้นกรณีจำเป็นจริงๆเท่านั้น ถึงแม้นว่าเมืองโจวถิงจะอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงไป๋ซ่านลี่ถึงหนึ่งหมื่นลี้ ใช้เวลาเดินทางร่วมเดือน แต่ข่าวลือต่างๆนาๆเกี่ยวกับอ๋องแปดไม่ว่าเรื่องที่เขาเป็นกาลกิณี เกิดมาแล้วทำให้พระมารดาผู้ให้กำเนิดต้องตายในทันที หรือว่าเรื่องที่เขาเป็นขยะของราชวงศ์ล้วนกระจายไปทั่วแคว้นไป๋กว๋อ ถึงแม้นว่า หลานยี่หลงจะไม่ค่อยโปรดปรานหลานฮุ่ยเจินนัก เพราะนางนั้นขี้โรค อ่อนแอ มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือเสียๆหายๆของนางซึ่งทำให้สกุลหลานนั้นด่างพร้อย แต่ตัวนายอำเภอหลานก็ใช่ว่าอยากจะให้บุตรสาวซึ่งเป็นสายเลือดแท้ๆของสกุลหลานแต่งออกไปกับบุรุษที่ไร้อนาคตเช่นนี้ นอกจากว่าบุตรเขยจะไม่สามารถส่งเสริมเรื่องหน้าที่การงานแก่เขาได้ ยังจะเป็นจุดด้อยให้ผู้คนที่ไม่ชอบหน้าเขาหาเรื่องเย้ยหยันเขาได้อีก แต่จะทำอย่างไรได้ หากปฏิเสธราชโองการก็มีโทษเท่ากับเป็นกบฏ เช่นนั้นเห็นทีว่าสกุลหลานคงต้องย่อยยับเป็นแน่
‘เหตุใดจึงต้องเป็นหลานฮุ่นเจินที่สุขภาพอ่อนแอ ขี้โรค ไม่รู้ว่าจะสามารถประคองชีวิตตนเองได้ถึงเมื่อไหร่แทนที่จะเป็นหลานฮุ่ยเหมย ที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองโจวถิง?’ นั่นนะสิ หลานยี่หลงพยายามคิดหาคำตอบระหว่างนั่งรอบุตรสาวคนโตให้มารับรู้ถึงชะตากรรม
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ ท่านย่า ท่านพ่อ”
วันนี้น้ำเสียงของหลานฮุ่ยเจินฟังดูมีพลังและมีชีวิตชีวามากขึ้น น่าแปลก…ฮูหยินผู้เฒ่าอดที่จะหรี่ตาลงขณะจ้องไปที่ร่างบอบบาง เนื้อหนังแทบติดกระดูกที่บ่าวรับใช้หญิงสองนางพยุงมาคนละข้างไม่ได้
เสียงของหลานฮุ่ยเจินทำให้สตรีนางหนึ่งที่แอบอยู่หลังพุ่มดอกมู่ตานข้างๆประตูทางเข้าเรือนใหญ่นั้นหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่สาว หลานฮุ่ยเหมยก็รีบหันไปทางต้นเสียงทันที เมื่อเห็นร่างผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกดูราวกับผีตายซากพยายามก้าวเดินอย่างทุลักทุเลมาทางเรือนใหญ่ หลานฮุ่ยเหมยก็เกิดอาการลนลานจนคุมสติไม่ได้ โฉมสะคราญที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองโจวถิงเกิดอาการร้อนรนจนไม่อาจควบคุมอากัปกิริยาต่างๆได้ บ่าวรับใช้คนสนิทของนางก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่หันมามองตากันราวกับว่าร่างที่พยายามขยับก้าวเดินนั้นมิใช่คน
“ซานซาน เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่?” หลานฮุ่ยเจินที่รีบดึงตัวสาวใช้ให้หลบไปด้านหลังเรือนใหญ่ละล่ำละลักถาม
“เหะ…เห็น เห็นเจ้าค่ะ คุณหนู…หรือว่านังจิ้งอี้ กับนังมู่หลินจะทรยศเราเจ้าคะ?”
“อืม…หรือว่าพวกมันเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน แล้วนี่พวกมันอยู่ที่ไหน?”
“บ่าวจะรีบไปจิกหัวมันมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“รีบไป ข้าเองก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” หลานฮุ่ยเหมยออกคำสั่ง ซานซานสาวใช้คนสนิททำท่าจะก้าวเดินออกไป แต่แล้วเท้าข้างหนึ่งของนางก็ชะงัก สาวรับใช้รีบหันมาทางผู้เป็นนาย ดวงตาฉายแววกังวล
“คุณหนูเจ้าคะ แล้วถ้าคุณหนูใหญ่ฟ้องเรื่อง…เอ่อ…เรื่องนั้นกับท่านนายอำเภอและฮูหยินผู้เฒ่าเล่าเจ้าคะ พวกเราจะมิแย่กันไปหมดหรือ?” ซานซานนั้นใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกลัว สำหรับบ่าวรับใช้ที่ใจกล้าทำร้ายร่างกายของผู้เป็นนายนั้น หากไม่ถูกจับส่งทางการก็คงถูกขังลืมจนตายในจวน
“มัวทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า รีบกลับเรือนกันเถอะ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อดี” หลานฮุ่ยเหมยเปลี่ยนใจยังไม่ให้ซานซานไปจิกหัวสองสาวใช้ทรยศนั่นมาให้นางสอบเค้นแล้ว ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องทำเร่งด่วนกว่าการจัดการกับนังสาวรับใช้ทั้งสองนั่น
หลายนฮุ่ยเหมยนั้นมีที่พักอยู่สองแห่ง คือที่เรือนใหญ่ แต่บางครั้งหญิงสาวก็อยากมีเวลาส่วนตัวได้ทำอะไรอิสระบ้างนางจึงขอบิดาให้สร้างเรือนหลังเล็ก กะทัดรัด ทะว่าสวยงามให้แก่นางเพื่อจะได้ใช้สำหรับท่องหนังสือ หญิงสาวอ้างว่าเป็นบุตรสาวของนายอำเภอจะโง่กว่าสตรีอื่นไม่ได้ ซึ่งหลานยี่หลงก็เห็นดีด้วย เขาจึงตกลงสร้างเรือนพักส่วนตัวที่ใช้สำหรับการท่องหนังสือเป็นหลักให้แก่หลานฮุ่ยเหมย แต่เขาหารู้ไม่ว่าบุตรสาวคนรองใช้สถานที่นี้เป็นที่สำหรับเก็บยาพิษชนิดต่างๆที่มารดาของนาง เหวินมี่เฟย เคยใช้กับมารดาของหลานฮุ่ยเจิน และที่นางได้ใช้กับพี่สาวเพียงคนเดียว โดยหวังว่าจะลับหูลับตาผู้คน ไม่มีผู้ใดนอกจากสาวใช้คนสนิทของนางรู้เห็น
ทันทีที่เข้าไปด้านในเรือนเล็ก ซึ่งเป็นเรือนส่วนตัวของนาง หลานฮุ่ยเหมยก็เดินวนไปเวียนมาราวกับเป็นหนูติดจั่น
“มันรอดมาได้ยังไง นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่ซานซาน?” หลานฮุ่ยเหมยเดินวนไปมานับร้อยรอบ ปากก็พร่ำถามสารพัดคำถาม
“บ่าวเองก็เห็นเช่นเดียวกับคุณหนูรองเจ้าค่ะ สารรูปแบบนั้น นั่นมันคุณหนูใหญ่ชัดๆ แล้วยังจะเสียงนั่นอีก เป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริงแน่ๆเจ้าค่ะ หรือว่าจะเป็น ผะ…ผะ…ผี”
“ผีบ้า ผีบอที่ไหนกัน นี่มันกลางวันแสกๆ ข้าอยากรู้นัก นังบ่าวรับใช้ชั้นต่ำสองคนนั่นมันทำงานยังไง ทำไมนังแพศยาฮุ่ยเจินจึงยังมีชีวิตอยู่ หรือว่ามันทรยศข้า ข้าแค้นใจนัก ข้าต้องเอาคืนมันให้ได้” หลานฮุ่ยเหมยพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด นางทั้งนึกโมโหที่พี่สาวที่นางริษยามาตั้งแต่จำความได้ยังไม่ตาย และทั้งวิตกจริตว่าเรื่องเลวร้ายที่นางและสาวใช้คนสนิทแอบทำจะล่วงรู้ไปถึงหูของบิดาและผู้เป็นย่า นางจะทำอย่างไรดี ใช่แล้ว….นางยังมีท่านแม่ มารดาของนางย่อมต้องช่วยพูดกับบิดาของนางได้แน่
“เอ้อ ฮุ่ยเจิน มาก็ดีแล้ว” เป็นเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลาน นางทั้งรู้สึกดีใจที่หลานสาวยอมออกมาจากเรือนที่อุดอู้นั่นเสียบ้าง แต่…ในใจลึกๆของหญิงชรานั้นกลับมีความวิกตกกังวลไม่น้อย
“ฮุ่ยเจิน” หลานยี่หลงเอ่ยได้แต่เพียงชื่อของบุตรสาวคนโตเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรกับนาง หลานฮุ่ยเจินสำหรับเขาแล้วเขาทั้งสงสาร สมเพศเวทนาและรำคาญ เขาสงสารที่นางเป็นคนขี้โรค เจ็บป่วยออดๆแอดๆมาตั้งแต่หลังจากที่นางเสียมารดาสุดที่รักไป สมเพศเวทนาที่นอกจากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนายแล้วยังมีข่าวลือไร้สาระที่สร้างความด่างพร้อยให้กับนาง และบางครั้งเขาเองก็รู้สึกรำคาญที่มีนางเป็นเสมือนขยะของสกุลหลาน
“เฮ้อ! คงจะเหมือนกับท่านอ๋องแปดที่เป็นขยะของราชวงศ์สินะ?” หลานยี่หลงอดทอดถอนใจไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านย่า มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ถึงให้คนไปตามข้ามา?”