ตอนที่ 1 อ๋องอัปลักษณ์
เพล้ง!
เสียงถ้วยชาที่ตกกระทบพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆพลอยทำให้เหล่านางกำนัลและขันทีที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวายใจต้องอกสั่นขวัญแขวน
“ทำไม? ทำไม?” ไป๋เฟยหมิง บุรุษเพียงหนึ่งเดียวในห้องที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงของโคมไฟส่องสว่างใดๆกำลังกำหมัดแน่น โลหิตสีแดงสดจากการชกกำปั้นเข้ากับผนังห้องอย่างแรงไปหลายทีกำลังไหลหยดลงพื้น
แต่เจ้าของกำปั้นและโลหิตนั้นกลับดูไม่ยี่หระกับอาการบาดเจ็บใดๆของตนเอง ใบหน้าที่ดูบิดเบี้ยวเพราะอารมณ์โมหะและโทสะนั้นยิ่งทำให้ห้องบรรทมของท่านอ๋องแปดแห่งราชวงไป๋ดูอึมครึมเพิ่มขึ้นไปอีก
ไป๋เฟยหมิง มีตำแหน่งเป็นอ๋องแปด เพราะเขาเป็นพระโอรสพระองค์หนึ่งของฮ่องเต้ไป๋เฟยฉีกับเหลียงกุ้ยเฟย นามเดิม เหลียงจิวซิ่น หนึ่งในสี่ราชชายาที่ไป๋เฟยฉีทรงโปรดปรานมากที่สุด หากว่ากันไปตามฐานะแล้ว ไป๋เฟยหมิงน่าจะได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่เพียบพร้อม ดีงาม อีกคนหนึ่งของแผ่นดินไป๋กว๋อ เป็นที่หมายปองของบรรดาสตรีทุกชนชั้น เป็นที่จับตามองและเป็นที่อิจฉาริษยาของบุรุษหนุ่มทั่วแผ่นดิน เพราะชีวิตของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจ วาสนา บารมีและทรัพย์สินเงินทอง แต่…ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ผู้คนทั้งใต้หล้าต่างมองเขาด้วยสายตาขบขัน สมเพศ เวทนาระคนสาแก่ใจ เขามีวาสนาได้เกิดมาเป็นพระโอรสของโอรสสวรรค์ ทว่า…กลับอับโชควาสนายิ่งนัก พระมารดาของเขาคือ เหลียงกุ้ยเฟย หรือเหลียงจิวซิ่น สตรีในวังหลังที่มีบทบาทสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้อย่างที่สุด นางมีความงามเป็นเลิศ ความงามของนางเรียกได้ว่า ‘หากนางเป็นที่สอง คงไม่มีใครกล้าที่จะเป็นที่หนึ่ง’ ความงามระดับ ‘ล่มเมือง’ของนางนั้นโด่งดังไปทั่วหล้า ถึงแม้จะเป็นเพียงบุตรสาวของนายอำเภอเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเมือง ‘ไป๋ซ่านลี่’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นไป๋กว๋อ แต่ความงามที่เปรียบดั่งราชินีแห่งบุปผาอย่างดอกโบตั๋นทำให้ไป๋เฟยฉีเรียกตัวนางเข้ามาถวายการรับใช้ และแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟยตั้งแต่คราแรกที่ถวายตัว เรียกได้ว่าแซงหน้าเหล่าบรรดานางในที่ถวายการรับใช้อยู่ก่อนหน้าแล้วหลายร้อยคน
เป็นที่แน่นอนว่า ที่ใดมีสตรีอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ที่นั่น…ย่อมมีความอิจฉาริษยา แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น
เมื่อครั้งที่เหลียงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์อ่อนๆ เหล่าบรรดาสนมชายาไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาต่างก็เป็นเดือดเป็นร้อน เพราะเกรงว่าทารกในครรภ์ของนางจะเป็นพระโอรส เพราะนั่นย่อมหมายถึง…ที่ยืนของพวกนางในวังหลังอาจจะสั่นคลอนก็เป็นได้
ชีวิตของเหลียงกุ้ยเฟยในวังหลังนั้นช่างสุขสำราญราวกับนางเซียนติดปีก ฮ่องเต้ทั้งรักใคร่ โปรดปราน และเอาใจใส่นางมากกว่าสตรีอื่นใด ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาที่เป็นหงส์คู่บัลลังก์ แต่แล้วชีวิตของเหลียงจิวซิ่นที่เป็นราวกับเทพธิดาที่โบยบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจู่ๆปีกทั้งสองข้างกลับหักเมื่อถึงวันที่นางประสูติพระโอรส
“เป็นพระโอรสเพคะ ตะ..ตะ…แต่” มามาคนสนิทของเหลียงกุ้ยเฟยละล้าละลังเมื่อต้องอุ้มพระโอรสตัวน้อยมาให้ผู้เป็นพระมารดาเชยชม
“มีอะไรเช่นนั้นรึ มามา?” เสียงอันแหบแห้งเพราะความอ่อนล้าของร่างกายที่ต้องสูญเสียโลหิตไปเป็นจำนวนมากระหว่างการคลอดบุตรของเหลียงกุ้ยเฟยทำให้เหล่าบรรดาหมอหลวงและนางกำนัลที่อยู่ในห้องบรรทมต่างพร้อมใจกันก้มหน้านิ่ง
จ้วงมามาลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่หมอหลวงจะพยักหน้าให้นางอุ้มองค์ชายองค์ล่าสุดไปให้ผู้เป็นพระมารดาได้ชื่นชม จ้วงมามาหมดทางเลือก สายตาของเหลียงกุ้ยเฟยที่มองมาที่องค์ชายตัวน้อยที่นางเพิ่งให้กำเนิดนั้นเต็มไปด้วยความอาทร มามาคนสนิทตัดสินใจที่จะให้ผู้เป็นนายได้เผชิญกับความจริง เพราะช้าหรือเร็วนางก็ต้องรับรู้
“กรี๊ดดดด!” ทันทีที่จ้วงมามาอุ้มองค์ชายน้อยมาให้กับมือของเหลียงจิวซิ่น กุ้ยเฟยผู้งดงามก็กรีดร้องเสียงแหลมลั่นห้องบรรทมก่อนที่จะหมดสติไป หมอหลวงทั้งหลายในห้องนั้นต่างพากันวิ่งวุ่นเมื่อท้ายที่สุดแล้วพวกเขาพบว่านางมิใช่เพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น หากแต่…หมดสิ้น…ซึ่งลมหายใจ
“เกิดสิ่งใดขึ้น!” ไป๋เฟยฉีซึ่งเสร็จจากว่าราชการรีบเสด็จมาที่ตำหนักของกุ้ยเฟยคนโปรดทันได้ยินเสียงกรีดร้อง พระองค์รีบปราดเข้ามาด้านในห้องบรรทมที่ทรงคุ้นเคย
เหล่าหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่น นางกำนัลต่างพากันก้มหน้านิ่ง ตัวสั่นเทาไปตามๆกัน ไป๋เฟยฉีทอดพระเนตรพระโอรสตัวน้อยที่จ้วงมามากำลังอุ้มเอาไว้กับอกก่อนที่จะผงะด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“อ๊ะ!” โอรสสวรรค์อุทานออกมาได้เพียงคำเดียว เขารู้สึกจุกขึ้นมาถึงลำคอ เอ่ยคำใดออกมาอีกไม่ได้
“ทูลฝ่าบาท เหลียงกุ้ยเฟยทรงสิ้นพระชนม์แล้วพะย่ะค่ะ” หัวหน้าหมอหลวงต้องรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีกราบทูลออกไป
“อะ…อะ…อะไรนะ?” ไป๋เฟยฉีเสียงสั่นเครือ เขาแทบไม่เชื่อหูตนเอง
“ทูลฝ่าบาท ขอทรงลงพระอาญาที่พวกกระหม่อมมิอาจยื้อชีวิตของพระชายาได้ พระนางเสียเลือดมากซ้ำเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็น เอ่อ…เห็น..”
“เห็นไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ตัวนี้ใช่ไหม” ฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะเมื่อจ้องมองไปที่เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของจ้วงมามา
โอรสสวรรค์เดินตรงไปที่เตียงไม้จื่อถานอายุนับร้อยปี ที่ที่มีร่างซึ่งไร้ลมหายใจของสตรีที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากที่สุดนอนอยู่ เขาหยุดยืนอยู่หน้าเตียง ไม่ได้เข้าไปสัมผัสร่างบอบบางนั้น โอรสสวรรค์หลับตาและกำมือแน่นทั้งสองข้างเพื่อตั้งสติ
“จิวซิ่น…เหตุใดเจ้าจึงให้กำเนิดเจ้าสัตว์ประหลาดที่อัปลักษณ์ที่สุดเช่นนี้” โอรสสวรรค์นึกต่อว่านางในใจ ความโปรดปรานที่เคยมีให้กับนางได้มลายหายไปสิ้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่นางได้ทิ้งเอาไว้ก่อนที่ดวงวิญญาณจะไปปรโลก คือ ความอับอาย ความอัปยศอดสู
ผู้ใดกันเล่าที่อยากจะยอมรับเจ้าสัตว์ประหลาดเช่นนี้ว่าเป็นบุตรของตนกัน