เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงให้รัชทายาท ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทกับจางอี้หลงออกหน้าและส่งบุรุษผู้นี้มาเป็นเขยสกุลโม่ ซึ่งนัยก็คือให้จางอี้หลง เป็นชายที่จะมาเจรจาให้โม่กังดูแลเรื่องทุนสำหรับกองทัพ คอยช่วยเหลือทางด้านเมล็ดพันธุ์การเกษตร ข้าวสาร ไปจนถึงเครื่องนุ่งห่มของคนในราชสำนัก เพื่อเป็นการไถ่โทษที่บิดาของเขา และพี่น้องใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังไปจนหมดในการทำสงครามกับแคว้นอี้
และเรื่องทั้งหมดนี้โม่เยี่ยเยี่ยได้ยินจากปากบิดา ในขณะที่เขาสั่งงานให้พ่อบ้านคนสนิทเตรียมรับแผนของฮ่องเต้
“หึ แต่งผู้ชายเข้าบ้าน เขายังมีเกียรติอันใดให้ข้าต้องเคารพ บุรุษเช่นนี้ไม่ควรเป็นทั้งสามีข้า และบุตรของลูกๆ ข้าที่จะลืมตามาดูโลกในภายหน้า”
“เยี่ยเอ๋อ กล่าวเช่นนี้ไม่ดี เจ้าควรสงบอารมณ์บ้างอย่าได้ลืมว่า การสมรสนี้ รัชทายาทเจี้ยนหยางเป็นผู้หนุนหลัง เพื่อให้คุณชายอี้หลงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเรา อีกอย่างในภายภาคหน้า รัชทายาทเจี้ยนหยางย่อมต้องนั่งบัลลังก์แคว้นฉางซี และคุณชายอี้หลง หากจะว่ากันไปแล้ว เขาก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงท่านอ๋องผู้หนึ่ง เป็นอ๋องก็ย่อมมีเส้นสายในวังหลวง”
สิ่งที่หลิวกัวกล่าวนับว่าถูกต้อง บิดาของจางอี้หลงเป็นพี่ชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และถึงเขาเกิดจากนางสนมที่ดูแลหอพระ แต่เมื่อเติบใหญ่ได้เป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร ทว่าหลังจากวางแผนพลาดใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังกับศึกเก้าทัพของแคว้นอี้ จึงทำให้ถูกเนรเทศไปในพื้นที่ทุรกันดาร จะเหลือก็แต่จางอี้หลงผู้ที่เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้กับไทเฮา และเขายังเป็นสหายคนสนิทขององค์รัชทายาทเจี้ยนหยาง
“อนาคตน้องเยี่ยเอ๋อ สดใสถึงเพียงนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ก็พลอยยินดีไปด้วย”
หลิวกัวเอ่ยและแสดงท่าทางดีใจจนน้ำตานองหน้า แต่คนที่ได้ฟังไม่ใช่เด็กเล็ก ถึงจะดูไม่ออกว่านางกำลังแสแสร้ง
“เอาไว้ให้ข้าส่งอี้หลงกลับเมืองหลวงเรียบร้อยเมื่อไหร่ ท่านพี่ทั้งสองค่อยดีใจก็คงไม่สาย”
โม่เยี่ยเยี่ยเอ่ยจบจึงหมุนตัว แล้วเดินหายไปจากคนทั้งคู่ ทิ้งให้โม่กวนเซี่ยวกับหลิวกัวได้แต่ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มที่คุณหนูสามดื้อรั้น เอาแต่ความคิดของตนเป็นที่ตั้ง
ก่อนเข้าหอกับจางอี้หลง คนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวร้อนใจจนไม่อาจเพิกเฉยต่อความรู้สึกดังกล่าว โม่เยี่ยเยี่ยไม่คาดคิดว่า บุรุษชั่วจะเดินทางมาพร้อมหญิงในดวงใจของเขา จางอี้หลงช่างหยามหน้านางนัก และคำว่าชั่วช้าคงน้อยเกินไปที่จะใช้กับเขา
“เป็นเช่นนั้นจริงรึ” โม่เยี่ยเยี่ยถามด้วยใจขุ่นเคือง ทั้งที่จางอี้หลงจะเข้าหอกับนางอีกห้าวันข้างหน้า แต่การเดินทางมาจากเมืองหลวงครั้งนี้ เขากลับพาไป๋จื๋อชิง ธิดาของเจ้ากรมประมงติดสอยห้อยตามมาด้วย และนางผู้นั้นช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
“บ่าวเห็นด้วยสองตา คุณหนูจื๋อชิง งดงามน่าทะนุถนอมราวกับปุ๋ยเมฆ นางสวมชุดขาว เยื้องย่างทีก็ประหนึ่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์”
“ฮึ แสร้งทำตัวเป็นคนดีเยี่ยงนั้น แต่ไฉนจิตใจถึงได้คาวโลกีย์ บัดซบทั้งคู่!”
หงอิงมองคุณหนูของตน ทั้งที่นางบอกว่าไม่ใส่ใจจางอี้หลง ทว่าเหตุใด พอเขามีสตรีตามก้นมาจากเมืองหลวงด้วยถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้น แทนที่นางจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่จะได้ใช้ข้ออ้างนี้สลัดเขาหลุดจากการเป็นเจ้าบ่าว และตัวนางเองก็ไม่ต้องเข้าหอกับบุรุษที่ไม่มีใจให้ ตำแหน่งฮูหยินที่นางไม่ต้องการก็ไม่ต้องเอามาผูกใส่คอไว้
“แล้วคุณหนูสามจะไปที่เรือนรับรองของท่านเจ้าเมืองจริงๆ หรือเจ้าคะ บ่าวว่ามันไม่ใคร่จะเหมาะสม เพราะที่นั่น เป็นเขตของสกุลเหอ”
เมืองกวางอันแห่งนี้ เรียกได้ว่ามีตระกูลพ่อค้าที่ขับเคี่ยวกันอยู่สองสกุล คือบิดาของนาง และคนของสกุลเหอ ซึ่งจะว่าไปก็ล้วนกอบโกยผลประโยชน์จากธุรกิจในมือของตน ดังนั้นจึงผลัดเปลี่ยนการเป็นที่หนึ่งในการสร้างผลกำไรเรื่อยมา กระนั้นถึงจะไม่กินเส้นกัน แต่ไม่ได้มีเรื่องใดร้ายแรงให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง เพราะศัตรูการค้าที่แท้จริงคือเหล่าขุนนางกังฉิน ซึ่งคิดหาทางเอารัดเอาเปรียบประชาชนและพ่อค้า
“ทำไม ข้าจะไปที่นั่นไม่ได้ ในเมื่อคนของข้า กินนอนอยู่ที่จวนรับรองรองท่านเจ้าเมือง”
หงอิงได้ยินแล้วจึงประหลาดใจ แต่นางมิอาจคัดค้านสิ่งใดได้ ทุกอย่างคงขึ้นอยู่กับโม่เยี่ยเยี่ย
“ถึงอย่างนั้น คุณหนูก็ควรแจ้งท่านเจ้าบ้านโม่นะเจ้าคะ”
โม่เยี่ยเยี่ย ส่ายหน้าระอาคนขี้ขลาด
“เจ้าก็อย่าเรื่องมาก ท่านพ่อวุ่นวายงานแต่งข้าก็เหนื่อยพอแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเอง อยากเห็นนักว่าตอนนี้ชายโฉด หญิงชั่วกำลังทำสิ่งใดให้เสื่อมเสียมาถึงข้าหรือไม่” โม่เยี่ยเยี่ยกัดฟันกรอดๆ นางอย่างเห็นด้วยสองตาคู่งามนี้นักว่า จางอี้หลงเกลือกกลั้วอยู่กับไป๋จื๋อชิงหรือไม่!
“คุณหนูกล่าวราวกับว่า จะไปจับผิดคุณชายอี้หลง”
“อืม ใช่แล้วทำไม ข้าอยากไปเห็นด้วยตนเอง หากข้าจับอี้หลงได้ในขณะที่เขาคบชู้ กฏหมายบ้านเมืองนี้ จะเอาผิดเขาได้หรือไม่ ข้าจะให้เขากลับเมืองหลวง พร้อมข้อหาคบชู้ สิ่งนี้จะทำให้เขาไม่อาจก้าวเข้าสกุลโม่และดื่มเหล้ามงคลกับข้า”
ความคิดของโม่เยี่ยเยี่ยตื้นเขินก็จริง แต่หงอิงหรือจะทัดทานได้
“เช่นนั้นคุณหนูหมายความว่า เราจะแอบไปที่จวนรับรอง”
โม่เยี่ยเยี่ยยิ้มพราย และตอบหงอิงพอให้ได้ยินกันสองคน “นับว่า สกุลโม่เลี้ยงเจ้าไม่เปลืองข้าวสุกจริงๆ หงอิง”