คุณชายน้ำแข็ง

1367 Words
สุดท้ายชายคนนี้ก็ยอมคุกเข่าขอให้ภรรยาให้อภัย แม้จะได้รับความบอบช้ำทางจิตใจมาโดยตลอด แต่ภรรยาผู้แสนดี ก็ยกโทษให้ชายเสเพล และเรื่องนี้จบลงอย่างงดงาม โดยที่ชายหนุ่มได้รับบทเรียนอย่างหนัก “รับรองคุณหนู พวกข้าจะแสดงอย่างดีที่สุด และให้เหล่าขอทาน และแม่นางในหอโคมเขียวป่าวประกาศเรียกคนมาดูให้มากๆ อย่างที่คุณหนูต้องการ” “ดีๆ ข้าจะรอชมผลงานพวกเจ้า” โม่เยี่ยเยี่ยเอ่ยจบนางก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองอยู่ แต่พอกวาดตาหากลับไม่พบผู้ใด “หงอิง ข้าคิดว่ารีบกลับเรือนของพี่รองดีกว่า ดูเหมือนมีเรื่องไม่น่าไว้วางใจ เมืองหลวงไม่ใช่ถิ่นของเรา” สาวใช้พยักหน้ารับ และรีบเรียกคนขับรถม้า พร้อมหน่วยคุ้มกันที่โม่อินหลีจัดหาให้ กระทั่งหนึ่งคุณหนู และหนึ่งสาวใช้เตรียมก้าวขึ้นรถม้า ก็เป็นตอนนั้นที่ดวงตากลมโตมองเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่ง “มีสิ่งใดหรือเจ้าคะคุณหนู” “เป็นเขาใช่หรือไม่” โม่เยี่ยเยี่ยหมายถึงจางอี้หลง แต่ถามออกไปแล้ว นางก็นึกค้านสายตา ด้วยบุรุษที่นางเห็นในตอนนี้กำลังช่วยคุณยายขาเป๋ กับหลานชายของนางเข็นรถ “เอ เหตุใดคุณหนูถึงคิดว่าใช่คุณชายอี้หลงเจ้าคะ อีกอย่างรูปที่เราได้มา รวมถึงสิ่งที่คนเคยพบเขา ก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ผิวขาว ท่าทางเย็นชา และดวงตาก็ดูน่ากลัว ทว่าคนผู้นั้นกลับดูอบอุ่น อีกทั้งงามสง่าอยู่มาก” “เจ้าคิดว่าเราจะถูกคนหลอกลวงหรือไม่” “ไม่เห็นว่าใครจะมีประสงค์เช่นนั้น ในเมื่อสตรีทั้งแผ่นดิน ล้วนต้องการมีบุตร แต่คุณชายอี้หลง...” “อย่าได้กล่าวออกมานะ เรื่องนี้ให้บ่าวเช่นเจ้าแพร่งพรายได้หรือ” หงอิงรีบยกมือปิดปากตน พลางมองโม่เยี่ยเยี่ย และใจนางคาดคิดไปว่า หญิงสาวคงเริ่มเป็นห่วงเป็นใยจางอี้หลงเข้าแล้ว “อย่างไรก็ตาม จางอี้หลงเป็นว่าที่สามีข้า ดังนั้นข้าโขกสับ และพูดจาให้ร้ายเขาได้คนเดียว ใครหน้าไหนห้ามทำเรื่องไม่ดีต่อเขา” สาวใช้รีบพยักหน้ารับอย่างเร็ว ก่อนช่วยประคองให้โม่เยี่ยเยี่ยขึ้นรถม้า แต่นางเหมือนอาลัยอาวรณ์ต่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชุดน้ำเงินเข้ม “เจ้าว่าเขาสูงเกินเจ็ดศอกหรือไม่” หงอิงมองบุรุษผู้นั้นอีกหนและนางก็เห็นว่าโดดเด่นกว่าใคร ทั้งความสูง รวมถึงความองอาจ “เขานับว่าเป็นชายคนแรกที่บ่าวเห็นว่าสูงกว่าคุณชายรองเจ้าค่ะ” โม่เยี่ยเยี่ยเห็นด้วยกับสิ่งที่หงอิงกล่าว เมื่อก้าวขึ้นรถม้า นางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น “หากจางอี้หลง สูงถึงไหล่บุรุษชุดสีน้ำเงิน ข้าคงไม่ต้องอายผู้อื่น ยามที่เขาลงจ้าวเกี้ยวเจ้าบ่าว” เมื่อได้ยินคุณหนูของตนกล่าว หงอิงก็กลั้นขำไม่ไหว “โถ คุณหนู เหตุใดต้องใส่ใจเขาด้วยเจ้าคะ ในเมื่อเขาก็แค่แต่งในนาม อย่างไรคงไม่ได้เขาหอกันเสียหน่อย” โม่เยี่ยเยี่ยถลึงตาใส่หงอิง แล้วเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยสุ้มเสียงสูงปรี๊ด “หงอิง! เจ้าจะขัดข้าไปเสียทุกเรื่องเลยใช่ไหม อีกอย่างถึงเขาจะแต่งเข้าสกุลโม่ แต่งานแต่งนี้ ต้องทำให้ถูกต้อง จริงอยู่ข้าไม่อยากเป็นฮูหยินของจางอี้หลง ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากให้คนรูปชั่วมาอยู่ใกล้ๆ ที่สำคัญ...หลังแต่งงาน ข้ากับเขาต้องเห็นกันแทบทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงอยากเห็นชายงามจะได้เจริญหู เจริญตาสักหน่อย” หงอิงยังไม่หยุดขำ ก่อนตอบคุณหนูของตนว่า “ตามที่บ่าวเห็นรูปของคุณชายอี้หลงแล้ว เขาพอมีความงามอยู่หลายส่วน เรื่องนั้นคุณหนูวางใจได้” โม่เยี่ยเยี่ยนึกถึงภาพวาดของจางอี้หลงที่จ้างคนวาดขึ้น ในใจก็พยายามไม่เปรียบเทียบกับบุรุษที่ตนแอบมองเมื่อครู่ หากสุดท้ายนางต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ติดๆ กัน หนึ่งเดือนผ่านไป เมืองกวางอัน โม่เยี่ยเยี่ยตั้งสติทำความเข้าใจสถานการณ์อันย่ำแย่ที่เกิดขึ้น ทั้งที่พยายามวางแผนล้มเลิกการแต่งงานครั้งนี้ แต่ดูเหมือนกำลังของนางไม่มากพอ นอกจากเจ้าบ้านโม่ ผู้เป็นบิดาจะเห็นดีเห็นงามกับงานมงคลของนางกับจางอี้หลง พี่ชายทั้งสองก็ทั้งผลักทั้งดันให้นางแต่งกับบัณฑิตน้ำแข็งผู้นั้น พี่ชายคนโตของนางปีนี้อายุสามสิบต้นๆ เขามีชื่อว่ากวนเซี่ยว นิสัยสุขุม พูดน้อย ใบหน้าอาจไม่หล่อเหลา แต่เป็นคนฉลาดหัวไว ส่วนสะใภ้ใหญ่คู่ชีวิตเขา หน้าตาสละสวย มีมารยาทดังเช่นคุณหนูจากสกุลใหญ่ นางใส่ใจทุกอย่างไปเสียหมด ในอดีตบิดานางทำงานในหอตำราเก็บหนังสือและภาพวาด หลิวกัวจึงอ่านออกเขียนได้ เล่นดนตรีทั้งพิณ ผีผา รวมถึงถนัดวาดเขียน ทั้งมีฝีมือประพันธ์กลอน แม้แต่การจัดดอกไม้นางยังทำได้ดี ดังนั้นนางจึงพยายามสั่งสอนให้โม่เยี่ยเยี่ยมีคุณสมบัติดังเช่นนี้ตน ทว่าไฉนคุณหนูสามจะนิยมเรื่องไร้สาระเหล่านั้น โม่เยี่ยเยี่ยชอบการค้า นางสนใจเรื่องเงินกับของสะสมหายาก “เยี่ยเอ๋อ พี่เห็นเจ้ากำลังจะได้ออกเรือนก็ดีใจจนน้ำตาไหล อย่างที่โบราณกล่าวไว้สะใภ้คนโต เปรียบเสมือนมารดา ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่เล็ก วันนี้เห็นเจ้าได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีชายที่ดีคอยดูแล ก็ทำให้เป็นสุขนัก” โม่เยี่ยเยี่ย มองสตรีรูปบางบอบบางเบื้องหน้า หลิวกัว คือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลโม่ แน่ล่ะมารดาของโม่เยี่ยเยี่ยเสียชีวิตตั้งแต่นางอายุได้เก้าขวบเนื่องจากมีนางเมื่ออายุมาก ดังนั้นพอหลิวกัวแต่งเข้าตระกูลโม่ นางจึงวางตัวราวกับเป็นมารดาคนที่สองของโม่เยี่ยเยี่ย “อย่างที่เสี่ยวกัวกล่าว นับแต่นี้เจ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝา พี่ใหญ่อดใจหายไม่ได้ เฮ้อ ต่อไปเจ้าต้องทำตัวให้ดี อย่าเกเร หรือสร้างความวุ่นวายให้สามีเป็นทุกข์นะน้องเล็ก” โม่กวนเซี่ยวกล่าวขึ้นบ้าง คนที่ไม่อยากเป็นเจ้าสาว ถลึงตาใส่พี่ชายสลับพี่สลับสะใภ้ ก่อนแหวเสียงแหลมจัด “ข้าเพียงแต่งบุรุษเข้าบ้าน และไม่ได้ย้ายไปไหน พี่ใหญ่ และพี่สะใภ้ลืมไปแล้วหรือ อีกอย่างเรื่องนี้แค่แต่งงานหลอกๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ข้าคงยังเป็นคุณหนูสามของสกุลโม่ ส่วนชายคนนั้นข้าจะไล่เขากลับเมืองหลวง พร้อมโยนเงินสักก้อนเพื่อไปเติมท้องพระคลังที่กำลังว่าง!” “ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น” โม่กวนเซี่ยวมองน้องสาว โม่เยี่ยเยี่ยฉลาดหลักแหลมเกินสตรีทั่วไป แต่หากให้รู้เรื่องทางการเมืองย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอง ยามนี้ฮ่องเต้ต่างส่งเชื้อพระวงศ์มาเกี่ยวดองกับคหบดีตามเมืองต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเติมทรัพย์สินของพระคลังให้เต็มดังเดิม หลังจากที่ถูกใช้จ่ายไปในสงครามกับแคว้นอี้ ในครั้งนั้นแม้แคว้นฉางซีจะชนะสงครามแต่เงินทองก็ร่อยหรอ หากจะบีบบังคับกับเหล่าขุนนางก็มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ เพราะล้วนยากไรกันถ้วนหน้า ทว่าแคว้นฉางซีมีเมืองสำคัญหลายเมือง ซึ่งล้วนอุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุ หลายที่เป็นเมืองเพาะปลูก ดังนั้นจึงมีคหบดีร่ำรวยอย่างมหาศาลอยู่มิน้อย หนึ่งในนั้นคือโม่กัง ผู้มีธุรกิจหลายอย่าง เรียกได้ว่าเจ้าบ้านโม่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของแคว้นฉางซีเลยทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD