พรู่ด!
แค่กๆ
ฉันสำลักไวน์จนรู้สึกเหมือนมันไหลย้อนกลับมาที่ลำคอและจมูกจนฉันต้องวางแก้ว คนตัวสูงเอื้อมมือหยิบทิชชู่แล้วยื่นให้ฉันหน้านิ่ง
“ทิชชู่ครับ”
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ” เขายิ้มรับคำขอบคุณที่ฉันให้ ส่วนฉันหน้าแดงแล้วรีบซับไวน์ออกเบาๆ แปะทิชชู่ลงบนหน้าแล้วค้างไว้สักพัก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะฝังหน้าเข้าไปในนี้เลย ฉันอาย...
ฮือ ทำไมเขาใจร้ายจัง เขาพูดหน้าตาย ส่วนฉันนี่จินตนาการตามทุกทีที่จุนบอก...
จินตนาการไปไกลด้วย ไกลมากพอจะทำให้หน้าร้อน ใจเต้นแรงเลยแหละ
“แค่ล้อเล่นน่ะครับ ผมไม่ทำอะไรหรอก” เขาเท้าคางมองสภาพเสล่อแปะของฉันด้วยสายตาเอ็นดู “พูดแค่นี้ก็เชื่อ... เห็นผมเป็นคนยังไงกันครับ”
“ผู้ชายก็คือเสือร้ายทุกคนนั่นแหละค่ะ ต้องระวังตัว” ฉันตั้งสติแล้วทำเป็นไม่ไขว้เขวอะไร เมื่อกี้แค่ตกใจไปเล็กน้อย ฉันทิ้งทิชชู่ลงถังขยะเล็กใต้โต๊ะก่อนจะกลับมาตั้งท่าสง่างามอีกครั้ง
“อ้อ... ครับ” เขากระตุกยิ้มบางก่อนจะใช้ช้อนกลางตักอาหารใส่จานฉันอีก “ผมชอบคนระวังตัวนะ”
“โลกสมัยนี้มันไว้ใจไม่ค่อยได้หรอกนะ” พอจุนบอกว่าชอบคนระวังตัว ฉันก็พรีเซ้นส์ความระวังตัวของตัวเองทันทีด้วยการพูดทัศนคติอ้อมๆ ที่คิดว่าเขาน่าจะเห็นด้วย “ต้องมีสติตลอดเวลา เดี๋ยวจะกลายเป็นเหยื่อค่ะ”
“ดีครับ”
เขาชมว่ะ...
“อย่าเผลอเชียว”
แต่ประโยคนี้แปลกๆ
จุนหัวเราะนิดๆ ไม่ได้พูดต่อแล้วใช้ช้อนส้อมเกลี่ยเศษอาหารไว้ที่ขอบจานก่อนจะวางมันลงอย่างเรียบร้อย คนตัวสูงยกมือเรียกพนักงานก่อนจะเลื่อนจานไปทางคนที่กำลังเดินมา เมื่อน้องพนักงานมาถึงจุนก็พูดเสียงเรียบ
“รบกวนเก็บจานให้หน่อยครับ ผมทานอิ่มแล้ว”
“ได้ค่ะ คุณลูกค้า” น้องพนักงานหญิงก้มโค้งรับ ไม่มีทีท่าจะหว่านเสน่ห์เหมือนตอนแรก สงสัยจะเข็ด ฉันมองตามน้องไปแล้วเริ่มชวนจุนคุยอีกรอบ
“ค่อยเรียกเก็บทีเดียวก็ได้นี่นา” ฉันว่าแล้วมองจานตัวเอง
“โทษทีครับ ผมไม่ค่อยชอบเห็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์ตรงหน้าเท่าไหร่ รกหูรกตาน่ะครับ” เขาเอ่ยแสดงความเป็นระเบียบในสมองออกมาอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เขาพูดถึงนี่หมายความแค่สิ่งของหรือรวมผู้คนเข้าไปด้วย
“อร่อยมั้ยคะ?”
“ก็ดีครับ ผมให้สามคะแนนเต็มห้า ผมจะให้เพิ่มหนึ่งคะแนนถ้าเค้าทอดปลาให้เกรียมกว่านี้อีกสัก 25% ในน้ำมันที่อุณหภูมิราว...” จุนทำท่าจะร่ายยาวและวิเคราะห์อาหารมาเป็นพารากราฟ ถ้ามีพาวเวอร์พ้อยก็คงจะฉายให้ฉันดูเพื่ออธิบายความอร่อยให้ฉันเก็ต แต่เขาชะงักไปเมื่อฉันยกมือเบรก
“สรุปก็คืออร่อยดีเนอะ ไม่ต้องพูดยาวหรอกจุน ตอบแค่อร่อยรึเปล่าก็พอแล้ว จุนจะมองทุกอย่างเป็นตัวเลขไม่ได้นะ”
“ไม่ได้มองเป็นตัวเลขครับ ผมแค่อยากให้เห็นภาพ” เขาตอบกลับดูจะไม่ชอบใจที่ฉันหาว่าเขาละเอียดเกินไป “ผมไม่ชอบการพูดลอยๆ แบบนามธรรมเท่าไหร่น่ะครับ ฟังแล้วไม่เข้าใจ”
“เป็นหุ่นยนต์ AI หรือไง คนนะไม่ใช่โปรแกรมเอ็กเซล ไม่มีใครต้องการความละเอียดขนาดนั้นในชีวิตประจำวันหรอก”
“ผมไงครับ”
เออ ยกเว้นนายคนนึงก็ได้ นี่ก็เถียงฉันจัง!
ฉันเริ่มอิ่มแล้วเลยเอาส้อมจิ้มอาหารในจานเล่นๆ มองหน้าเขาแล้วคิดอะไรสักพัก สงสัยว่าอะไรทำให้ผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้ากลายเป็นคนแบบนี้ได้ เขาจะเข้าใจเรื่องที่ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนประกอบบ้างรึเปล่า
“วันนี้เจนมาที่นี่ยังไงครับ”
“แท็กซี่น่ะ พอดีเอารถไปซ่อม” ฉันตอบ รถฉันก็ช่างเสียได้ประจวบเหมาะซะเหลือเกิน อันที่จริงฉันจะยืมรถแม่มาก็ได้ แต่ถ้าฉันเอารถมา ฉันก็ต้องขับกลับเอง มันไม่คูลเอาซะเลย ให้ผู้ชายขับรถกลับไปส่งถึงบ้าน มันดูคูลกว่า ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะนั่งแท็กซี่มาเอง... เพื่อขากลับจะได้มีเทพบุตรส่งถึงบ้าน
ผู้หญิงก็ต้องหัดเจ้าเล่ห์บ้าง ถ้าเพศตรงข้ามได้ทำอะไรเพื่อเรา หรือได้ช่วยเหลือเรา เขาจะรู้สึกดีมากขึ้น ฉันรู้ ฉันอ่านมาเยอะ ดูคลิปยูทูปก็เยอะด้วย
“ถามทำไมเหรอ?” ฉันแกล้งหย่อนคำถามเพื่อให้เขาออกปากเสนอตัวไปส่งฉัน
“งั้นผมไปส่งเจนที่บ้านแล้วกันนะ”
นั่นไง ฉันเดาอะไรไม่เคยพลาดหร๊อก! ฉันแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่ภายนอกทำท่าชะงักไปเล็กน้อยพร้อมสายตาแสดงความซึ้งอกซึ้งใจ แม้จะรู้มาจากบ้านแล้วว่าสุดท้ายจะต้องเป็นอีหรอบนี้
“จุนจะไม่เหนื่อยเหรอ เจนกลับเองก็ได้นะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ”
อ้าว! เฮ้ย เดี๋ยว ไม่เป็นห่วงฉันสักหน่อยเหรอ ฉันแค่แกล้งเกรงใจไปตามมารยาทเองนะ!
“จุนจะไม่เหนื่อยเหรอ เจนกลับเองก็ได้นะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ”
อ้าว! เฮ้ย เดี๋ยว ไม่เป็นห่วงฉันสักหน่อยเหรอ ฉันแค่แกล้งเกรงใจไปตามมารยาทเองนะ! ฉันสตั๊นไปตอนที่จุนตอบกลับมาแล้วยกแก้วไวน์ดื่ม พอนัยน์ตาสีอ่อนเลื่อนมามองฉันเขาก็หัวเราะ
“ปากไม่ตรงกับใจนะ...” เสียงของคนตรงหน้าเบาลงเหมือนเสียงกระซิบ... กระซิบแต่ก็ตั้งใจให้ฉันได้ยินแล้วเขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น “ผมไม่เหนื่อยหรอกครับ ผมไม่ใช่คนขับรถ มีคนอื่นขับมาส่งน่ะ”
“แน่ะจริงๆ แล้วขับไม่เป็นรึเปล่าเนี่ย” ฉันแกล้งแซวไปเรื่องอื่น แต่ในใจก็ยังตะขิดตะขวงเรื่องการกลับบ้านของฉันอยู่เนืองๆ ตกลงตานี่จะปล่อยฉันกลับเองจริงเหรอ
แต่ก็เป็นไปได้ เขาทำอะไรเถรตรงจะตาย...
“ขับเป็นแต่ไม่ชอบครับ ที่บ้านมีคนขับรถ”
“จะบอกว่าบ้านรวยงี้” ฉันแกล้งเบ้ยิ้ม
“ใช่ครับ”
“โห จุนนี่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเลยนะ ปกติเค้าต้องบอกว่าไม่รวยเอาเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ” ฉันแอบแขวะเขาเล็กน้อยที่เขาตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่มีการถ่อมตัวหรือยิ้มแหยๆ เขาไหวไหล่ทีนึง
“มันเป็นเรื่องจริงนี่ครับ ทำไมผมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ”
“ช่างเถอะ”
เออ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธจริงๆ นั่นแหละ... เขาพูดถูก ฉันมันบ้าเอง รวยจริงแล้วทำไมต้องบอกว่าไม่รวยด้วยวะ ฉันนี่แหละที่ประสาท
“งั้นวันนี้ผมให้คนขับรถขับไปส่งเจนก่อนแล้วกันนะ แล้วผมค่อยกลับบ้าน เป็นผู้หญิงนั่งรถกลับดึกๆ มันอันตราย” จุนกลับมาเข้าเรื่องเดิมที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ ฉันเผลอยิ้มดีใจ ทว่าตอนนั้นนัยน์ตาเราก็ดันสบกันพอดี...
เขามองนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่แค่นั้นฉันก็รู้สึกเหมือนโดนแสกนสมองไปเรียบร้อยแล้ว