“อือ อย่างนั้นก็ได้” ฉันตอบรับอย่างไว กลัวว่าถ้าแกล้งเกรงใจ เขาจะไม่ไปส่งฉันอีก คนอะไรไม่รู้ดูยากเป็นบ้า ไม่แน่ใจว่าการทำความเข้าใจเขากับแก้โจทย์เลข อันไหนมันยากกว่ากัน
ไม่นาน พวกเราก็ใช้เวลาดื่มด่ำกับอาหารเสร็จ จุนแทบไม่ดื่มไวน์ ไม่รู้เป็นเพราะเขาไม่มั่นใจกับการที่ไม่รู้ที่มาที่ไปรึเปล่า คนตัวสูงเรียกพนักงานเช็คบิลและจ่ายให้ทั้งหมด วินาทีที่เขาจ่ายเงินคือวินาทีที่เขาหล่อสุดของวันนี้
ฉันกับเขามายืนรอรถอยู่หน้าร้าน เขาโทรศัพท์ตามคนขับรถก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดจน
กระทั่งมีรถ BMW คันสีดำค่อยๆ ขยับมาจอดเทียบฟุตบาทอยู่ด้านหน้า
“ไปกันเลยมั้ยครับ?” คนตัวสูงโพล่งขึ้นประโยคแรกหลังจากที่เงียบมาสักพัก
“คันนี้เหรอ?”
“ใช่ครับ” จุนตอบสั้นๆ ก่อนจะหงายมือมาทางฉันแล้วยืนนิ่งไปแป๊ปนึง ฉันมองแล้วก็นิ่งไปด้วยเพราะไม่รู้นางยื่นมือมาทำไม... “ขอมือหน่อยครับ”
“ฮะ”
“...มือครับ” เขาพูดช้าลงแล้วเลื่อนสายตามามองฉันด้วยใบหน้านิ่งมาก
“มือ? เอาไปทำไมเหรอ”
“เอามาจับสิครับ” เขาเขย่าฝ่ามือตัวเองนิดหน่อยเพื่อกระตุ้นให้ฉันยื่นมือไปให้เขา แต่เดี๋ยวก่อน เขาจะขอมือฉันเหมือนขอมือหมาไม่ได้นะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย (แต่ก็ได้ไม่ยาก) ดังนั้นฉันขอเล่นตัว
“แน่ะ จะแตะอั๋งเราเหรอ” ฉันแกล้งแซวแล้วยิ้มกวนๆ คนตัวสูงยิ้มนิดๆ แล้วเหล่สายตาไป
มองคนขับรถที่เดินมาเปิดประตูให้
“ยังไงวันนี้เราก็จับมือกันไปแล้วนี่ครับ ผมจะถือว่าเราข้ามไปขั้นที่สองที่ผมคิดไว้”
ฉันถอนหายใจให้กับเหตุผลแล้วเอามือมากอดอก ยืนยันว่าฉันจะไม่จับมือกับเขาแน่ ไอ้เดทสามครั้งและแพลนการจับมือ จูบ หมั้น แต่งงานอะไรของเขานั่นมันฟังดูบ้าบอมากๆ เรื่องอย่างนี้มันควรขึ้นอยู่กับอารมณ์ไม่ใช่หรือไง คนที่ไหนเขามานั่งแพลนเป็นรายงานกันวะ
“แล้วอย่าลืมกรอกแบบฟอร์มที่ผมให้ด้วยนะครับ อย่าลืมอ่านของผมด้วย...” จุนเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นฉันยืนกอดอก แถมยังย้ำเรื่องกระดาษที่ฉันถืออยู่ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่
“จ้า” ฉันตอบรับไปงั้นๆ
“...มือครับ” เขายังเอ่ยประโยคเดิม พอเห็นฉันมองนิ่งๆ เขาก็ยิ้มอ่อยแล้วกะพริบตาหวานๆ ทีนึง “ขอมือหน่อยได้มั้ยครับ?”
ฉันลังเลไปสามวินาทีเพื่อให้ตัวเองดูเป็นกุลสตรีก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปจับ มือของจุนนุ่มมาก ตอนที่ฉันจับในร้านอาหารก็ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียด ไม่แน่ใจว่ามือหอมด้วยมั้ย... ถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันจะแอบยกมือตัวเองมาดม
ไม่ได้โรคจิตนะ ฉันแค่อยากรู้เฉ๊ยเฉยยยยย
ใจฉันผิดจังหวะไปเล็กน้อยในตอนที่จุนทำตัวเป็นสุภาพบุรุษด้วยการให้ฉันขึ้นรถก่อนแล้วค่อยๆ เข้ามานั่งตาม พวกเรานั่งอยู่เบาะด้านหลังกันอยู่สองคน โดยมีคนขับรถผู้ชายคนนึงด้านหน้าอายุราวๆ สี่สิบกว่าปีได้ เขามองอยู่นิดนึงก่อนจะคุยกันเรื่องจุดหมายปลายทาง
จุนร่ายรายละเอียดบ้านฉันยังกับกูลเกิ้ลแมป เหมือนเขาศึกษามาแล้วอย่างดี ว่าไปถนนเส้นไหน ผ่านทางใดถึงจะเร็วที่สุดพร้อมบอกเวลาจนแทบจะเจาะจงเวลาเป็นจุดทศนิยม
พอจุนพูดจบ บนรถก็บังเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เพราะที่นี่เป็นใจกลางเมือง แม้จะเป็นเวลากลางคืน รถราก็ยังติดแหง่กจนแทบไม่ขยับ พวกเรานั่งรถออกจากร้านมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่พ้นแยกที่ห่างจากร้านแค่ไม่กี่กิโลเมตร
แอร์เย็นๆ ทิวทัศน์มืดๆ และอาหารที่เต็มท้องฉันไปหมดทำให้เปลือกตาของฉันหนักขึ้น ฉันหาวหวอดๆ อยากจะชวนจุนคุยแต่ก็ไม่รู้จะคุยอะไร เพราะไอ้ที่เขาพูดมาแต่ละอย่างก็ไม่ใช่ทางที่เราจะคุยกันรู้เรื่อง
ฉันแอบเลื่อนสายตาไปมองคนข้างๆ ที่กดโทรศัพท์อย่างเงียบๆ ก่อนจะเอนหัวซบกับเบาะรถ
เพราะเพลงน่ารักที่คนขับรถของจุนเปิดมันบิ๊วท์อารมณ์มากๆ ไม่รู้นางติดซีรีส์หรือนางก็แค่เปิด แต่การได้ยินเพลงน่ารักๆ ทำนองเรื่อยๆ ทำให้คนใกล้ๆ ฉันหล่อขึ้นอีกสิบระดับ
จุนเป็นคนที่เงียบแล้วน่ารักสุดๆ แค่นั่งกดโทรศัพท์ มองสันกรามข้างๆ ก็ยังหล่อและดูดีจนฉันหายใจไม่ออก ฉันแกล้งหลับตาและพยายามจะเอนหัวไปทางเขา ยิ่งจังหวะเลี้ยวรถที่ตัวฉันหมุนไปตามแรงโน้มถ่วง หัวฉันยิ่งขยับไปใกล้จุนมากขึ้น จากการประเมิน อีกนิดนึงก็น่าจะถึงบ่าของเขาแล้ว
ฉันต้องการความเนียน แต่เหมือนจะไม่เนียนเพราะฉันได้ยินเสียงหึจากคนใกล้ๆ หัวฉันที่ค่อยๆ เอนไปใกล้ก็หยุดชะงักอัตโนมัติ แม้คนขับรถจะเลี้ยวแรงแค่ไหนตัวฉันก็แข็งเพราะกลัว... กลัวอีตานี่จะรู้ทัน
ฉันข่มตาและแกล้งนอนไม่รู้เรื่องจนกระทั่งมีมือนุ่มๆ ดึงหัวฉันเข้าไปซบกับไหล่ ตาฉันก็ลืมขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
จุนมองฉัน และฉันก็มองเขาในระยะประชิด ฉันกลืนน้ำลายอึกด้วยความเกร็ง คนตัวสูงทำหน้านิ่งก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มเป็นมารยาท
“ถ้าง่วง ซบได้นะครับ”
“...เอ่อ จะดีเหรอ เราเกรงใจ” ฉันทำเสียงอ่อนแต่ก็ไม่ขยับออก
“แค่ซบเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาหัวเราะแล้วหันไปกดโทรศัพท์ปล่อยให้หัวฉันพิงอยู่กับไหล่ แสงจากมือถือที่เขาเล่นส่องเข้าที่หน้าหล่อๆ นั่นทำให้ฉันกลืนน้ำลายไปนิดนึง เขาพูดเหมือนพูดไปงั้นๆ และคงมีแต่ฉันที่คิด...
“มากกว่านี้ก็ให้ได้ครับ”