ขบวนรถลีมูซีนเคลื่อนย้ายออกจากคฤหาสน์หลังงามมาถึงโรงพยาบาลประจำเมืองเวโรนาในเวลาสองชั่วโมงต่อมา เซซาเร่เดินเคียงคู่มากับลูกสาวบุญธรรมสุดที่รัก บนโถงทางเดินที่นำไปสู่หน้าห้องนายแพทย์เพื่อรอรับการตรวจ
ส่วนอเล็กซานโดรไปทำงานตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะให้ตอเร่ บอดี้การ์ดหลักฝีมือเยี่ยมคอยอารักขาป้องกันบิดา และให้เลวินสัน บอดี้การ์ดอีกคนทำหน้าที่ดูแลป้องกันศศิด้วย นอกจากบอดี้การ์ดหลักแล้วยังตามด้วยขบวนบอดี้การ์ดอีกนับสิบ ที่คอยป้องกันอารักขาการมาโรงพยาบาลครั้งนี้ของมาเฟียเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่กับคุณหนูศศิ อบาเต้
“สวัสดีครับคุณหมอโรแกน” เซซาเร่ทักทายทันทีเมื่อเปิดประตูห้องตรวจเข้ามา
“สวัสดีครับ ยินดีที่ดอนเซซาเร่มาวันนี้” นายแพทย์ใหญ่ลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะลงนิดหนึ่งเพื่อให้เกียรติ “ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มตรวจอย่างละเอียดกันเลยนะครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาของดอน”
“ยินดีครับ ผมยอมให้หมอตรวจอย่างละเอียด เพราะผมยังอยากอยู่ดูแลลูกสาวไปนานๆ” เซซาเร่พูดติดตลกและทำให้นายแพทย์ใหญ่อมยิ้มตามไปด้วย
“ด้วยความยินดีครับดอน” หมอโรแกนบอกและเริ่มลุกขึ้นทำการตรวจวัดชีพจร ความดัน และส่วนอื่นๆของร่างกายตามโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปีของโรงพยาบาลทันที โดยทุกขั้นตอนได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมาเฟียเฒ่า
ส่วนทางฟากของศศิที่แยกมาตรวจกับหมออายุรกรรมที่อยู่ไม่ไกลกัน อาการที่นายแพทย์บอกมาไม่ได้ทำให้คนป่วยแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด อาการเริ่มต้นของไข้หวัด
“คุณศศิทานยาและก็พักผ่อนมากๆ สองสามวันก็หายครับ หมอจะจัดยาให้ไปทานที่บ้าน” เพราะอาการไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และวิธีที่จะรักษาได้ดีที่สุดคือการนอนหลับพักผ่อน จึงไม่จำเป็นต้องให้คนไข้นอนที่โรงพยาบาล
“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ”
“รอรับยาที่ด้านนอกนะครับ พยาบาลจะรีบนำยามาให้คุณศศิ”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” คนไข้สาวสวยบอกพร้อมกับยิ้มหวาน เมื่อออกมาจากห้องตรวจ ศศิก็พบกับเลวินสันที่ยืนประสานมือรออยู่
“แด๊ดล่ะ” หญิงสาวถามขึ้นอย่างเป็นห่วง อยากรู้ผลการตรวจของบิดา
“ดอนเซซาเร่ยังไม่ออกจากห้องตรวจครับคุณหนู” เลวินสันรายงานตามที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายนั้น
“ไม่เป็นไร บอกตอเร่ว่าศศิจะรออยู่ที่ห้องรับรอง”
“ครับ” เลวินสันรับคำแล้วนำคำสั่งของเจ้านายน้อยไปบอกกับลูกน้องอีกคนให้ไปบอกตอเร่อีกที ส่วนตัวเองก็เดินกลับมาคุ้มกันศศิตามเดิม
“หมอบอกว่าแด๊ดเป็นโรคหัวใจต้องพักผ่อนมากๆ” เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์อบาเต้ในตอนเย็น อเล็กซานโดรก็เริ่มเปิดฉากซักฟอกบิดา ขณะที่ทั้งหมดนั่งพักผ่อนในห้องรับแขกส่วนตัวของคนในบ้านที่อยู่ถัดจากห้องรับแขกใหญ่เข้าไปอีกโซน โดยมีศศินั่งอยู่ใกล้ๆ และทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี
“ห้ามเครียด ห้ามกังวลด้วยครับแด๊ด”
เซซาเร่มองหน้าคนพูดซึ่งก็คืออเล็กซานโดรที่สอบถามอาการป่วยของบิดามาจากหมอโรแกนแล้ว เพราะรู้ดีว่าถ้าถามเซซาเร่นั้นไม่มีทางได้คำตอบอย่างละเอียด
เซซาเร่ไม่ตอบแต่ยิ้มกว้างยอมรับ
“ผมอยากให้แด๊ดไปพักที่ทัสคานี ไร่องุ่นกับทิวทัศน์ที่สวยงามจะทำให้แด๊ดไม่ต้องห่วงกังวลถึงเรื่องงาน และเรื่องต่างๆ ที่นี่” อเล็กซานโดรบอกด้วยสีหน้าเรียบขรึมแต่เต็มไปด้วยแววกังวล หลังรู้ข่าวว่าบิดาป่วยด้วยโรคหัวใจที่เพิ่งตรวจพบ
“แด๊ดเป็นห่วงอเล็กซ์” เซซาเร่บอกด้วยสีหน้าหนักใจ พอๆ กับหญิงสาวคนเดียวในห้องที่มีสีหน้าฝืดเฝื่อนไปถนัดตา พอรู้ว่าเซซาเร่ป่วยด้วยโรคอันตรายที่ต้องระวังเรื่องการกระทบกระเทือนจิตใจ ศศิมองบิดาด้วยความเป็นกังวล แต่หันมามองเจ้าพ่อหนุ่มด้วยสายตาที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
“แด๊ดไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ” อเล็กซานโดรยืนยันหนักแน่น สีหน้าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้นแด๊ดฝากที่นี่ด้วยนะ ดอนอเล็กซานโดร” เซซาเร่บอกพร้อมกับยิ้มกว้าง ไม่เสียใจที่มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักนิด
“ได้ครับแด๊ด ถ้าอย่างนั้นแด๊ดก็ไปพักที่ทัสคานีได้แล้วใช่ไหมครับ ผมอยากให้แด๊ดรีบไปพักที่นั่นไวๆ”
“ทำไมต้องรีบไล่แด๊ด ดอนมีอะไรในใจหรือเปล่า”
เจ้าพ่อหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะทันที แต่ไม่พ้นสายตาหรี่มองจับผิดของเซซาเร่ที่ไม่ยอมละสายตาไปจากท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของลูกชาย พอๆ กับสายตาของศศิที่ทำให้เขาร้อนผ่าวไปทั้งร่าง
“ผมเป็นห่วงแด๊ดเท่านั้นจริงๆ” อเล็กซานโดรรีบออกตัว ซ่อนอาการอย่างมิดชิด
“ศศิ แด๊ดไปพักที่ทัสคานีระยะหนึ่ง ศศิอยู่ที่เวโรนากับพี่เขาได้ไหม”
อาการผงะตกใจราวกับเห็นโรมิโอกับจูเลียตฟื้นคืนชีวิต ศศิรีบประกาศบอก “ไม่ได้ค่ะ ศศิไม่อยากอยู่กับดอนอเล็กซานโดร ศศิไปอยู่กับแด๊ดได้ไหมคะ หรือให้ศศิกลับไปอยู่ที่มิลานก็ได้”
คนเป็นพ่อถอนหายใจยาว แต่อีกคนส่งสายตาคมดุที่บอกว่าให้คิดดีๆ ก่อนพูด “เรื่องมิลานตัดทิ้งไปได้เลย แด๊ดเป็นห่วงศศิ ศศิไม่อยากอยู่ที่เวโรนากับพี่เขาหรือ”
“เอ่อ ไม่อยากค่ะ ศศิเป็นห่วงแด๊ด ไปอยู่กับแด๊ดที่ทัสคานีดีกว่า”
“แล้วเรื่องงานนางแบบของศศิล่ะ” เซซาเร่ยังซักไซ้หาข้อมูลต่อ
“ศศิไม่เลิกได้ไหมคะแด๊ด แต่จะรับงานให้น้อยลง ไปเช้าเย็นกลับ ไม่ค้างคืน หรือถ้าค้างคืนก็คืนเดียวให้มีคนคอยรับส่งก็ได้ค่ะ” คนเป็นลูกสาวยังคงพยายามต่อ ความกระวนกระวายแล่นพล่านไปทั่วร่าง
“แต่ทัสคานีไกลจากมิลานมากนะ” ผู้เป็นบิดายังถามต่อเรื่อยๆ ราวกับจะเล่นเกมยี่สิบคำถามและทำให้คนถูกทักท้วงครุ่นคิดวุ่นวายใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปกลับเครื่องบินส่วนตัวก็ได้” ศศิบอกและขยับเข้าไปใกล้บิดาอีกนิด ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองจากคนที่นั่งอยู่อีกฟาก
“เปลืองค่าน้ำมัน ทั้งเงินจ้างนักบินกับอื่นๆ อีกจิปาถะ ไม่มีอะไรคุ้มกันสักนิด” และคนที่นั่งอยู่ลำพังอีกฟากก็ตำหนิขึ้นลอยๆ ในความเงียบที่เซซาเร่กำลังใช้ความคิด
“ศศิไปเครื่องบินส่วนตัวของแด๊ดได้ไหมคะ แด๊ดไม่หวงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับศศิใช่ไหม” คนที่ขยับเข้าใกล้อีกนิดออดอ้อนและทำให้คนที่พูดปิดทางไว้ก่อนหน้าตาลุกวาว อยากจะลุกไปจับแม่น้องน้อยที่ปากช่างเจื้อยแจ้วจำนรรจา มาจูบปิดปากเป็นการสั่งสอนไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงท้าทายเขาได้อีก
“แด๊ดไม่หวงกับศศิหรอก เรื่องค่าน้ำมันกับค่าจ้างนักบินแค่นั้นขี้ประติ๋วสำหรับแด๊ด ถ้าพี่เขาหวง ศศิไปอยู่ทัสคานีกับแด๊ดก็แล้วกัน”
“อ้าว แด๊ดครับ...” คนที่กลายเป็นคนขี้หวงหน้าเหวอไปทันที
“ค่ะ ตามนี้ดีที่สุด” สิ้นคำดีอกดีใจของลูกสาวสุดที่รัก เซซาเร่ก็ลูบศีรษะของศศิอย่างรักใคร่ ขณะที่เจ้าพ่อหนุ่มได้แต่มองเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างฝากไว้ก่อนเถอะ