เสียงไก่ที่ขันเจื้อยแจ้วรวมทั้งเสียงเซ็งแซ่จากตัวอะไรสักอย่างที่ดังอยู่ ปลุกให้หญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาค่อยๆ ขยับกายไปมาอย่างเมื่อยล้า ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วกวาดมองไปรอบตัวอย่างงุนงงในตอนแรก เพราะแทนที่จะเห็นเพดานห้องที่ประดับด้วยโคมไฟระย้าสวยงามอย่างเคย กลับพบเพดานมุ้งสีขาวขุ่นๆ ไม่คุ้นตา ครั้นก้มลงมองที่นอนที่ควรจะเป็นเตียงหนานุ่มที่นอนอยู่ทุกค่ำคืน ก็กลายเป็นที่นอนบางๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเมื่อยล้าที่เกิดขึ้น
เมื่อเปิดมุ้งออกจึงรู้ว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่ไม่ใหญ่นัก ผนังห้องทั้งสี่ด้านเป็นไม้สีกระดำกระด่าง และก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนขื่อไม้ ตุ๊กแกตัวใหญ่กำลังมองเขม็งตรงมายังเธอราวกับจะทักทาย และก็ผลุบหายไปทันทีหลังจากนั้น ไม่ห่างไปนักก็มีมุ้งสีขาวขุ่นกางอยู่อีกหลัง
‘ที่นี่มันที่ไหนกัน’ หญิงสาวถามตัวเองอยู่ในใจ
ทว่าเมื่อนึกทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่อยู่ที่หมู่บ้านห้วยม่วงในอำเภอสวนผึ้งของนางพวง ที่เธอขับรถดั้นด้นมาหาตั้งแต่เย็นแล้วต่างหาก แล้วพลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็วาบเข้ามาในสมอง จำได้ว่าตัวเองขับรถไปถึงทางแยกแล้วไปไหนไม่ถูก และมีนายทหารสองคนมาพบเข้า นายทหารหน้าดุเป็นผู้ขับรถของเธอมาส่งให้ถึงที่นี่
‘แล้วรถยนต์ของเธอล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน’
พรนับพันลุกพรวดพราดขึ้นแล้วเดินตรงไปยังหน้าต่างก่อนจะชะโงกหน้าลงไปมอง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกเมื่อเห็นรถยนต์ของเธอจอดอยู่ โดยมีเด็กผู้ชายหลายคนกำลังยืนมุงดูราวกับเห็นของประหลาด
ครั้นก้มลงมองตัวเองที่เมื่อคืนนางพวงนำเสื้อผ้าของนางมาให้สวมชั่วคราว เพราะชุดที่หญิงสาวสวมมาคงจะทำให้เธอนอนไม่สบายนัก และเธอเองก็ไม่ได้เตรียมตัวที่จะมาที่นี่เลย เรียกว่านึกจะมาก็มา
หญิงสาวดึงกางเกงหลวมโพรกของนางพวงที่สวมอยู่ให้กระชับขึ้น แถมช่วงปลายขาซึ่งควรจะอยู่ตรงหน้าแข้งยังร่นขึ้นมาอยู่ที่หัวเข่าเพราะส่วนสูงที่ต่างกัน ส่วนเสื้อที่สวมค่อนข้างสบายเพราะเป็นเสื้อคอกระเช้าง่ายๆ แต่ความหนาวเยือกที่กระทบกายในตอนนี้นี่สิ ทำให้ต้องยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะเปิดประตูออกไปด้านนอก
“ตื่นแล้วหรือน้องขิม หิวหรือเปล่าลูก”
คำทักทายด้วยน้ำเสียงอาทรของอดีตคนเลี้ยง ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวตรงระเบียงทำให้น้ำตารื้นขอบตาทันที
“หิวเหมือนกันจ้ะ” หญิงสาวตอบแล้วจึงไปทรุดลงนั่งข้างๆ พลางยกมือขึ้นกอดอกเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็น รวมทั้งเสื้อคอกระเช้าที่ใส่ก็ปิดอะไรได้ไม่มิดชิดนัก
“ในตู้เย็นมีหมูสับอยู่บ้างป้าเลยทำข้าวต้มร้อนๆ ให้กิน เดี๋ยวบ่ายๆ ค่อยไปตลาดนัดหาซื้อกับข้าวแล้วกัน”
นางพวงบอกพลางมองร่างของหญิงสาวที่นางเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก ครั้นเห็นท่าทางกอดอกเพราะอากาศเย็น นางจึงเดินไปเปิดตู้พลาสติกสีสันสดใสแล้วหยิบผ้าคลุมไหล่ส่งให้
“ตอนเช้าๆ อากาศก็มักจะเย็นแบบนี้แหละจ้ะ แต่พอสายหน่อยก็ร้อนแล้ว ป้าลืมไปว่าน้องขิมยังไม่ชินกับอากาศที่นี่ เมื่อคืนเลยเอาเสื้อคอกระเช้าให้ใส่”
หญิงสาวรับผ้าคลุมไหล่ที่คงยังไม่เคยใช้งานมาพร้อมกับคลี่ออก ก่อนจะอุทานเสียงดังเมื่อเห็นลวดลายงดงามบนเนื้อผ้า
“สวยจังเลยจ้ะป้า”
“พวกนี้เป็นผ้าไหมทอมือของชาวบ้านที่นี่แหละน้องขิม เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของพระราชินี ซึ่งพระองค์ทรงริเริ่ม โดยมีคนจากศูนย์ศิลปาชีพมาช่วยฝึกสอนให้ชาวบ้าน”
นางพวงพูดพลางยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว และมองไปยังพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แขวนคู่กับพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถบนฝาผนังด้วยแววตาจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง เพราะนางเองก็มาเข้าร่วมโครงการฯ ตอนย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน จนปัจจุบันนางมีฝีมือในการทอผ้าได้งดงามพอตัว แต่นางไม่ค่อยมีเวลาที่จะทุ่มเทเหมือนก่อนเท่านั้น
“ถ้าป้าพวงไม่บอกว่าเป็นฝีมือของชาวบ้าน หนูก็คงนึกว่าเป็นยี่ห้อที่คุณแม่ชอบซื้อมาใช้”
เมื่อเอ่ยถึงมารดาสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้าขึ้นมาทันที ซึ่งก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาจับสังเกตของนางพวงไปได้ นางมองคนพูดอย่างเพ่งพิศพลางคิดในใจ คงต้องรอให้กินข้าวกินปลาเสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยสอบถามเรื่องราวความเป็นมา
“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนน้องขิม เดี๋ยวป้าไปเตรียมข้าวต้มไว้ให้”
คนถูกไล่ให้ไปล้างหน้า พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอแวะไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เกต โชคดีที่ยังไม่ได้เอาของพวกนั้นลงจากรถแต่อย่างใด และของที่ซื้อมาส่วนใหญ่ก็เป็นของที่ใช้ในห้องน้ำแทบทั้งสิ้น รวมทั้งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กด้วย ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเดินทางไกล คิดพลางหญิงสาวก็เดินลงบันไดไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน
ทันทีที่เด็กหลายคนซึ่งยืนรุมล้อมรถอยู่ เห็นหญิงสาวหน้าตาสวยแต่แต่งตัวประหลาด ต่างก็พากันชี้ชวนให้ดูพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
“เฮ้ย...ดูสิวะผู้หญิงแต่งตัวประหลาดว่ะ”
คนถูกหาว่าแต่งตัวประหลาดมองเด็กๆ ที่ยืนหัวเราะเธอด้วยสายตาขุ่นเคือง ขณะเตรียมจะพูด นางพวงก็ส่งเสียงตวาดมาจากระเบียงเสียก่อน
“ไอ้เด็กพวกนี้ ไปเล่นกันที่อื่น...ไป๊”
เด็กทั้งหมดพอได้ยินเสียงตวาดต่างก็พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงเด็กชายผิวคล้ำคนเดียว ที่เมื่อกี้ไม่ได้ร่วมวงหัวเราะเธอเหมือนคนอื่น แต่กำลังยืนเบิ่งตาโตมองมายังหญิงสาวนิ่งๆ
“อ้าว...ไอ้จุ้น มายืนทำอะไรอยู่ทำไมยังไม่ไปอีก”
เจ้าของชื่อมองมาทางหญิงสาวอีกครั้งด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนจะวิ่งจากไป พรนับพันจึงก้มลงมองตัวเองแล้วความขุ่นเคืองก็ค่อยๆ จางหายไป ก็ควรให้เด็กพวกนี้หัวเราะเยาะเธออยู่หรอก เพราะนอกจากเสื้อผ้าที่ดูไม่เข้ากับตัวเธอแล้ว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน คาดว่าคงจะดูไม่จืดเป็นแน่