“ตายแล้วน้องขิม ถ้าไม่เจอผู้พันจะทำยังไงล่ะเนี่ย ทำไมจะมาไม่โทร. มาหาป้าก่อน น่าตีนักเชียว รู้ไหมว่าแถบนี้มันอันตรายแค่ไหน” นางพวงพูดเสียงสั่นหน้าซีดเผือด หลังจากฟังคำบอกเล่าของนายทหารหนุ่มซึ่งนางรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี
“หลานสาวป้าพวงหรือครับ” แสนคมแกล้งถามทั้งที่รู้ว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก
“ป้าเคยเลี้ยงน้องขิมมาตั้งแต่เด็กๆ น่ะค่ะผู้พัน เพิ่งจะห่างกันสองปีนี่เอง” นางพวงบอกทั้งที่เสียงยังไม่หายสั่น พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะคนร้องไห้ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กๆ
คนร้องไห้เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาขึ้นเถียงเสียงสั่นเครือ “ถ้าบอก ป้าก็ต้องไม่ให้หนูมาใช่ไหมล่ะ”
นางพวงถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะที่หญิงสาวพูดมานั้นถูกต้อง ก่อนจะโอบกระชับร่างในอ้อมแขนเหมือนเรียกขวัญ
“ขอบคุณผู้พันมากเลยค่ะ รวมทั้งผู้กองดินด้วย”
ผู้กองดินที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่หัวเราะแห้งๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศตรงหน้า “ผมบอกป้าแล้วนี่ครับว่าให้เรียกผมผู้กองเฉยๆ อย่าเรียกผมว่าผู้กองดินเลย ฟังทีไรสะดุ้งทุกที”
นางพวงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“ป้าก็ลืม คราวหน้าจะไม่เรียกผู้กองดินอีกแล้ว แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวเข้าบ้านก่อน ขอบคุณผู้พันกับผู้กองอีกครั้งนะคะ” พูดจบก็ประคองร่างหญิงสาวในอ้อมแขนขึ้นบ้าน แต่ก็ชะงักเพราะเสียงเรียกของแสนคมที่เดินมาหา
“เดี๋ยวครับป้า ผมเกือบลืมคืนกุญแจรถ”
“ขอบคุณมากค่ะ” นางพวงพูดขอบคุณแทนคนที่นางประคองอยู่ก่อนจะเดินเข้าบ้าน เมื่อแสนคมเห็นว่าอีกฝ่ายปิดประตูเรียบร้อยก็หันไปทางบดินทร์
“เราก็กลับกันบ้างเถอะว่ะ..ผู้กองดิน”
“พี่นะพี่ ผมเพิ่งบอกป้าพวงไปหยกๆ” บดินทร์ค้อนรุ่นพี่ที่แกล้งเขา
“พี่เพิ่งคิดได้ตอนได้ยินป้าพวงเรียกนายว่าผู้กองดินนี่แหละว่ะ พี่ว่าฟังแล้วก็เข้าท่าดีนะ” แสนคมพูดพลางหัวเราะหึๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังรถของตัวเอง หน้าตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของหญิงสาวเกิดขึ้นในห้วงความคิดโดยไม่รู้ตัว
แสนคมขับรถคันใหญ่ออกจากบ้านของนางพวงตรงไปยังอีกฟากของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่พักของเขาและบดินทร์ รวมทั้งทหารในหน่วยพัฒนาทั้งหมด บ้านพักแต่ละหลังเป็นแบบชั้นเดียวเทปูนง่ายๆ ส่วนหลังคาก็มุงด้วยสังกะสี
“จ่าโชติเคยเล่าให้ผมฟังว่าแต่ก่อนหลังคาบ้านเป็นพวกหญ้าคาหรือครับพี่”
บดินทร์ถามพลางช่วยแสนคมหิ้วข้าวของลงจากรถเข้าไปไว้ในบ้านที่สภาพดูดีกว่าหลังอื่น ตรงที่มีชุดรับแขกประดับบ้านตั้งอยู่เท่านั้น คนถูกถามมองไปทางหลังคาสังกะสี
“ใช่ แต่ต้องคอยเปลี่ยนทุกปี เลยตัดสินใจมุงสังกะสีแทน อาจจะร้อนหน่อยในช่วงหน้าร้อน แต่ก็ไม่มากเพราะอย่างน้อยพื้นบ้านก็ยังเป็นปูนซึ่งเก็บความเย็นได้ดี”
“นั่นสิครับ ถ้าไม่ได้พื้นปูนช่วยคงจะร้อนพิลึก” บดินทร์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะวางกล่องอาหารที่มารดาของแสนคมทำมาให้ลงบนโต๊ะอาหารภายในครัว
“แล้วพี่จะกินข้าวเลยหรือเปล่าครับ”
“กินสิ หิวจะแย่อยู่แล้ว หรือนายไม่หิว”
แสนคมตอบพลางลูบท้องประกอบ เขาหิวมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้วแต่ตั้งใจว่าจะมากินที่บ้านพัก เพราะกว่าจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมง เลยกลัวว่าจะมาถึงฐานที่มั่นมืดค่ำ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมาถึงมืดค่ำจนได้
“ใครบอกล่ะ ตอนนี้ผมแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วครับพี่”
บดินทร์พูดแล้วก็เดินไปหยิบจานชามกับช้อนมาวางบนโต๊ะ แล้วจัดการตักข้าวสวยจากในกล่องที่นำมาจากบ้านของแสนคมใส่จาน โดยมีเจ้าของบ้านเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆ หยิบขวดน้ำเย็นกับแก้วไปวางสมทบ แต่ยังไม่ทันได้ลงมือกินเสียงเพลงลูกทุ่งก็ดังแว่วมาเสียก่อน
“…ทหารไทยใจห่วงเมีย เฝ้าสั่งเสีย เสียจนตะวันสาย…”
เสียงเพลงที่ร้องยังไม่ถึงไหนก็มีเสียงด่าตามมาดังลั่น
“ไอ้เวรโชติ...เมียเอ็งก็ตายไปตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่หรือวะ จะเสือกร้องหาพระแสงอะไรนักหนา หรือจะร้องให้เมียเอ็งฟื้นจากหลุมมาให้เอ็งสั่งเสีย หน็อย!...ร้องเพลงนี้อยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน”
“แล้วข้าไปร้องบนกบาลเอ็งหรือไงไอ้ทัศน์” คนร้องเพลงเถียงเสียงไม่ดังนักแล้วก็ร้องต่อไป “…ยิ้มก่อนสิ ก่อนที่พี่จะไกล มันไม่นานเท่าไร จะกลับมาให้ไออุ่น...”
เสียงเพลงและเสียงด่าที่ดังสลับกันก่อนเห็นตัว ทำให้ผู้พันและผู้กองถึงกับอมยิ้มด้วยความขบขัน ไม่นานก็เห็นร่างสูงของเจ้าของเสียงวัยกลางคน ซึ่งสวมเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงทหารเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผู้พันแสนกับผู้กองดินกลับมากันแล้วหรือครับ”
คนที่มาพร้อมกับเสียงเพลงหรือจ่าสิบเอกโชติช่วงถามเสียงนุ่มขัดกับหน้าตาดุๆ รวมทั้งรอยสักพรืดเต็มท่อนแขนทั้งสองข้าง จึงถูกเพื่อนคู่หูอย่างจ่าสิบเอกสุทัศน์ซึ่งสวมชุดเหมือนกันเบรกเสียงเหี้ยมขัดกับหน้าตาที่แสนจะเรียบร้อย
“ไอ้เปรตโชติ เอ็งก็เห็นๆ อยู่ว่าผู้พันกับผู้กองดินกลับมาแล้ว จะถามให้ได้อะไรขึ้นมาวะ”
คนหน้าเหี้ยมหันไปค้อนคนพูดขวับใหญ่
“เขาเรียกถามตามมารยาทสังคมโว้ย เหมือนที่เอ็งถามน้องพวงของข้าว่าจะไปไหน แล้วน้องพวงตอบว่าไม่ได้ไปไหนหรอกจ้ะ...จะไปตลาดซะหน่อย”
เสียงอ่อนเสียงหวานซึ่งขัดกับหน้าตาของคนพูด เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากผู้กองบดินทร์จนต้องกุมท้องไว้ ยามเห็นจ่าวัยหนุ่มใหญ่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันทีไร เขาจะต้องหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งทุกครั้ง เพราะทั้งคู่มีอะไรที่แตกต่างกันจนหลายคนคิดไม่ถึง
“แหม...ไอ้เปรตโชติ แม่พวงอายุมากกว่าเอ็งสองปีไม่ใช่หรือวะ เดาะเรียกเขาว่าน้อง ดัดจริตจริงๆ” จ่าทัศน์ค่อนแคะเพื่อน
“เอ็งก็รู้ว่าข้ากำลังจีบแม่พวงอยู่ขืนไปเรียกพี่ มันก็เกินไปวุ้ย เรียกน้องดูน่าจะเข้าตากว่า” จ่าโชติทำตาเคลิ้ม
“เออ...ข้ากลัวหมัดน้องพวงของเอ็งจะเข้าที่ตามากกว่าว่ะไอ้โชติ”
ก่อนที่ศึกน้ำลายของทั้งคู่จะดำเนินต่อไป แสนคมที่นั่งอมยิ้มฟังอยู่ก็พูดตัดบท
“มากินข้าวด้วยกันสิ” พลางจัดแจงเปิดฝากล่องกับข้าวหน้าตาน่ากิน ส่งกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายหก จนจ่าสุทัศน์ต้องลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ทว่าเพื่อนคู่หูกลับบอกด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ
“เชิญผู้พันกับผู้กองตามสบายเถอะครับ ผมกับไอ้ทัศน์เพิ่งกินมากันครับ”
จ่าสุทัศน์มองเพื่อนอย่างขวางๆ “ไอ้โชติไม่กินก็ช่างหัวมัน แต่ผมขอรับคำชวนครับผู้พัน”
“เมื่อกี้เอ็งก็เพิ่งกินข้าวบ้านข้ามาไม่ใช่หรือวะไอ้ทัศน์ แล้วข้าได้ยินเอ็งบอกว่าอิ่มจนจุกเลยนี่หว่า” จ่าโชติหันไปว่าเพื่อนซึ่งก็ถูกอีกฝ่ายสวนกลับทันควัน
“ข้าเป็นคนมีมารยาทโว้ย ผู้บังคับบัญชาเอ่ยปากชวน ไม่ตอบรับก็จะดูไม่ดี ที่สำคัญไม่มีใครทำกับข้าวได้อร่อยเท่าคุณแม่ของผู้พันแสนคมอีกแล้ว”
แสนคมมองทั้งสองจ่าแล้วหัวเราะเบาๆ “กินกันทั้งสองคนนั่นแหละ แม่ผมทำกับข้าวมาเยอะ ตั้งใจจะแบ่งให้จ่าทัศน์กับจ่าโชติเอาไปให้พวกลูกน้องอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดศรัทธาละครับ” จ่าหน้าเหี้ยมบอกเสียงนุ่ม และลงมือตักข้าวให้คู่หู แล้วลงมือกินเป็นคนแรกทั้งที่เพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าเพิ่งกิน