คุณสราญรัตน์นั่งฟังย่าหลานคุยกัน แล้วก็อมยิ้มพลางนึกขันแม่สามีอยู่ในใจ เพราะเมื่อหลายวันก่อนยังบอกว่าถ้าหลานชายคนเดียวมาเมื่อไรจะงอนเสียให้เข็ด มิหนำซ้ำเวลาลูกชายตัวดีของเธอโทร. มาก็ไม่ยอมคุยด้วย
“คุยทางโทรศัพท์สู้คุยแบบเห็นหน้าเห็นตาไม่ได้ ย่าไม่ชอบ ย่าเข้าใจเรื่องงานรัดตัวนั่น แต่ก็น่าจะหาโอกาสกลับมาบ้านบ้างสักวันสองวันก็ยังดี ไม่ใช่หายไปเป็นปีอย่างนี้ สวนผึ้งก็ไม่ได้ไกลอะไรนักหนา ถ้าย่าเป็นอะไรไปจะได้มาทันดูใจหรือเปล่า คนเราจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย” คนเป็นย่าพูดพลางยกมือขึ้นลูบเส้นผมสั้นบนศีรษะหลานชายไปพลางราวกับอีกฝ่ายยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ
“แค่สามเดือนนะครับไม่ใช่ตั้งปี แล้วคุณย่าก็เพิ่งเจ็ดสิบสองเองนะครับ ยังแข็งแรงอยู่เลย” หลานชายแก้ให้เสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหันไปทางรุ่นน้อง ซึ่งคนถูกมองเหมือนจะรู้ตัวว่าต้องทำอย่างไร
“สวัสดีครับคุณย่า ผมเป็นรุ่นน้องของพี่แสนคม ชื่อบดินทร์ครับผม”
หม่อมราชวงศ์อรดีมองไปยังชายหนุ่มแปลกหน้า ที่ยังยืนนิ่งอยู่แล้วจึงยกมือขึ้นรับไหว้
“ไหว้พระเถอะจ้ะพ่อคุณ ย่าก็มัวแต่ต่อว่าหลานชาย เลยไม่ได้มองว่าใครไปใครมาบ้าง แล้วทำงานที่เดียวกับแสนคมหรือจ๊ะ”
“ครับ ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานเองครับผม”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง นั่งคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวย่าไปดูกับข้าวกับปลาให้”
หม่อมราชวงศ์อรดีบอกพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปในครัวด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ผิดกับที่บอกหลานชายว่าจะตายวันตายพรุ่ง แสนคมมองตามหลังร่างบอบบางของผู้เป็นย่าอย่างขำๆ
“แล้วเคยอยู่ที่ไหนมาก่อนหรือจ๊ะ” คุณสราญรัตน์ถามอย่างสนใจ
บดินทร์ยิ้มให้มารดาของรุ่นพี่ “ผมเคยอยู่ปัตตานีมาก่อนครับ”
“อยู่ที่นั่นไม่กลัวหรือจ๊ะ” คุณสราญรัตน์อุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ ซึ่งคนถูกถามก็ยิ้มกว้าง เพราะเวลาเขาบอกใครต่อใครว่าย้ายมาจากสามจังหวัดชายแดนใต้ทีไร มักจะได้ยินเสียงตกใจเสมอ
“ไม่หรอกครับ เวลาดูภาพข่าวอาจมองว่าสถานการณ์ที่นั่นรุนแรง แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมดหรอกครับ คนที่นั่นมีน้ำใจโดยเฉพาะกับทหาร เพราะรู้ว่าเราไปช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจ ตอนแรกอาจจะลำบากนิดหน่อยในการสื่อสารและศาสนาที่แตกต่างกันด้วย แต่พออยู่ไปนานๆ ก็เริ่มจะรู้ใจกัน ตอนผมย้ายมาก็ใจหายเหมือนกันครับ”
“หายเพราะทำหล่นไว้ที่นั่นหรือเปล่าผู้กองดิน” รุ่นพี่เอ่ยกระเซ้า ขณะที่รุ่นน้องยังไม่ทันตอบ มารดาก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แล้วแสนคมล่ะลูก ทำใจหายไว้บนดอยบ้างหรือเปล่า”
“อ้าว คุณแม่ถามดินอยู่ดีๆ ไหงจู่ๆ มาลงที่คมได้ล่ะครับ” ลูกชายแกล้งโวยวายเสียงดัง
“แม่ก็อยากให้ลูกทำใจหายเหมือนพ่อดินบ้างสิลูก อายุเท่าไหร่แล้วล่ะปีนี้” คนเป็นแม่ถามยิ้มๆ ซึ่งรอยยิ้มดังกล่าวทำให้คนเป็นลูกรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ชอบกล
“แม่จำอายุคมไม่ได้แล้วหรือครับ”
คนเป็นแม่สั่นศีรษะที่มองแล้วก็รู้ว่าแกล้ง “ลูกอายุมากขึ้นทุกปีจนแม่แทบจะจำไม่ได้แล้วแหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลูกชายของแม่จะมีครอบครัวกับเขาซะที”
ในที่สุดผู้พันหนุ่มก็เจอคำถามที่เขานึกกลัวจนได้ เขาทำได้แค่ปฏิเสธไว้ก่อนเท่านั้น
“คมยังไม่พร้อม กลัวว่าครอบครัวที่แม่อยากให้มีจะไม่อบอุ่นเหมือนของพ่อกับแม่น่ะสิครับ”
แสนคมรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ แม้เขาจะมีเชื้อสายผู้ดีเก่าจากคุณย่าที่เป็นหม่อมราชวงศ์ ส่วนทางมารดานั้น ถึงแม้จะเป็นแค่ชนชั้นกลาง แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนในละครเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มไม่เคยเห็นบิดามารดาทะเลาะเบาะแว้งกันเลยสักครั้ง
“ถ้าแสนคมกลัวไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างนี้ ก็คงไม่ต้องมีหรอกจ้ะครอบครัว สมัยแม่มิน่ากลัวยิ่งกว่านี้หรือ เพราะแม่รักกับพ่อของลูกซึ่งมีแม่เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ และพ่อก็สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นเจ้าพระยา แต่แม่ก็คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราสองคนเท่านั้น”
คนเป็นลูกยังไม่ทันได้ตอบคำของผู้เป็นแม่ ก็มีเสียงห้าวๆ ดังแทรกขึ้นมา
“แม่ลูกคุยอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างนอกเชียว”
เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูงแต่งชุดทหารเต็มยศ ใบหน้าคมคายแม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม
“เอ...ทำไมวันนี้กลับเร็ว ไม่ได้นัดอีหนูไว้หรือครับพ่อ” แสนคมแกล้งทักพลโทพัชระผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าดวงตาคมเต้นระริก “อ้าว...ไอ้ลูกเวร เล่นแรงไปหรือเปล่าวะ” บิดาส่งเสียงโวยวายทันควัน
“สวัสดีครับ” บดินทร์ลุกขึ้นยืนยกมือตะเบ๊ะทหารยศนายพลตามธรรมเนียม “ผมเป็นรุ่นน้องของพี่แสนคมครับผม”
“เออ...สวัสดี ตามสบายนะลูก ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากความ ตำแหน่งหรือยศน่ะพ่อทิ้งไว้ที่ทำงาน เวลานี้พ่อเป็นพ่อของไอ้ลูกชายที่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องตั้งสองสามเดือนและกำลังจะถูกเตะในไม่ช้า”
บิดาของแสนคมพูดแกมหัวเราะ และก็ต้องชะงักเมื่อลูกชายพูดต่อท้ายประโยคว่า
“และก็เป็นสามีที่กำลังจะถูกภรรยาฟาดด้วยไม้หน้าสามโทษฐานที่กลับบ้านผิดเวลาไปหนึ่งนาที”
“ไอ้แสนคม!”