ไม่เข้าใจ
หรือฉันไม่พยายามจะเข้าใจในสิ่งที่เขาบอกก็ไม่รู้ ถ้าจำไม่ผิด ฉันไม่เคยอนุญาต และไม่คิดจะอนุญาตให้เขาเข้ามานอนในบ้านฉันแน่ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
เขานั่งเท้าคางแล้วจ้องฉันด้วยนัยน์ตาสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และนั่นทำให้ฉันเกร็งจนเผลอกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้ง รู้สึกเหมือนเขาเตรียมตัวจะฆ่าฉันมากกว่าจะมาจีบอีก...
“นอน... ที่บ้านฉันไม่มีห้องว่างหรอกนะ ฉันว่านายกลับไปนอนที่บ้านน่าจะดีกว่า” ฉันดึงเอาความกล้าหาญที่มีมาตอบเขาและจ้องโต๊ะแทนที่จะจ้องหน้าเพราะว่าฉันกลัวมาก
“นอนห้องเธอไง”
“...เอ่อ” ใจฉันตกลงไปที่ตาตุ่ม มองหน้าเขาด้วยความลังเล ฉันไม่ได้โง่และฉันรู้ว่าสิ่งที่เขาหมายถึงไม่ใช่การไล่ฉันไปนอนห้องอื่น แต่เขาน่าจะหมายถึงเรานอนด้วยกัน และนั่นมันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่! “เตียงห้องฉันมันเล็ก ฉันว่า...”
“ฉันนอนได้” เขาตอบเสียงขรึมและจ้องฉันด้วยนัยน์ตาไม่พอใจ จนฉันชะงักเล็กๆ
ฉะ ฉิบหาย เขาจะพุ่งเข้ามาจับหัวฉันโขกกับโต๊ะมั้ยเนี่ย! ใจฉันเต้นถี่ขึ้นตามกาลเวลา เหงื่อเม็ดเล็กซึมตามหน้าผากและฝ่ามือจนชื้น ฉันกัดริมฝีปากคิด ภาวนาให้พ่อกับแม่มาที่นี่และทำอะไรสักอย่างกับเขา
ทำอะไรก็ได้ให้หมอนี่หายไปจากสายตาฉันในตอนนี้!
“ร้อนเหรอ?” เขาเลิกคิ้วสูงมองหน้าฉันที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันยิ้มแหยๆ และพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดในตอนนี้
“น่ะ นิดหน่อย” ฉันใช้มือข้างนึงปาดเหงื่อด้วยความลนลาน นัยน์ตาฉันหลุกลหลิกจนมีพิรุธ แต่เหมือนหมอนั่นจะไม่สนใจนัก บรรยากาศตอนนี้ฉันพูดได้เลยว่ามันอึดอัดจนฉันไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ แค่ขยับตัวเล็กน้อยฉันก็รู้สึกเหมือนจะถูกเขาคาดโทษอยู่ตลอด จนกระทั่ง...
Rrrr Rrrr Rrrr Rrrr...
เสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของพ่อหรือแม่ที่ลืมไว้ในบ้าน เพราะฉันไม่เคยได้ยินเสียงริงโทนนี้มาก่อน และก็เป็นดังคาด เสียงโทรศัพท์นั่นมันเป็นของเขา
Rrrr Rrrr Rrrr Rrrr...
มันดังอย่างต่อเนื่อง แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีที่จะรับมัน เขาทำหน้าเฉยชาราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร
Rrrr Rrrr Rrrr Rrrr...
มันดังอย่างนี้มากว่าห้านาทีแล้ว พอมันหยุดได้ครู่นึง ก็ดังขึ้นมาใหม่ภายในไม่กี่วินาที จนฉันไม่มีสมาธิและอึดอัดมากกว่าเดิม
“ไม่รับโทรศัพท์หน่อยเหรอ?” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบามาก เบาอย่างกับเสียงกระซิบเพราะแค่สบนัยน์ตาคนตัวสูงฉันก็สะดุ้งแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะตบปากฉันมั้ยที่บังอาจสาระแนไปอยากรู้เรื่องเขาเนี่ย แต่โทรศัพท์มันดังน่ารำคาญนี่หว่า ให้ฉันทำไงล่ะ!
“ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจ”
“เดี๋ยวปลายสายจะโกรธเอานะ” ฉันพยายามจะบอกให้เขารับโทรศัพท์ ถ้าบังเอิญคนปลายสายนั่นโทรเรียกเขาให้ไปหา ฉันก็จะเป็นอิสระไง!
“ช่างสิ”
“รับเถอะ เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญก็ได้นะ” ฉันคะยั้นคะยอ
“ฉันไม่อยากรับ ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยตอนนี้”
“...เขาเป็นคนที่นายไม่ชอบขี้หน้าเหรอ?” ฉันตั้งสมมติฐานหลังจากที่เห็นสีหน้าไม่เป็นมิตรของหมอนั่นที่แผ่รังสีหงุดหงิดออกมามากกว่าปกติ เขาทำท่าเหมือนเกลียดคนปลายสายเอามากๆ
“เปล่า” คนตัวสูงหลุดหัวเราะเล็กๆ ออกมาพลางมองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มหยัน “เป็นแฟนฉันอีกคนต่างหาก”
“ใช่ แฟน” เขายืนยัน
“งั้นยิ่งต้องรับโทรศัพท์เลยไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันจะรับก็ต่อเมื่อฉันอยากจะรับ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสั่ง” เสียงของเขาแอบดุขึ้นและนั่นทำให้ฉันตัวลีบเล็กลงไปอีก ฉันก็แค่ถามนิดหน่อยทำไมเขาต้องทำท่าเหมือนฉันเหยียบตาปลาเขาด้วยวะ ฉันกลัวนะ
“กินข้าวเสร็จ แล้วเราไปเดินเที่ยวกันดีกว่า” เขาวุ่นวนกับการลากคอฉันไปนั่นมานี่สุดๆ โดยที่ไม่เคยถามความเห็นฉันแม้แต่นิด ฉันเม้มริมฝีปากคิดว่าควรจะปฏิเสธดีมั้ย ขืนฉันไปไหนมาไหนกับเขา คนอื่นจะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงของเขาแน่ๆ
ไม่เอาอ่ะ หน้าตาเขาท่าจะมีคู่อริเป็นแสน คนเกลียดเป็นล้าน ฉันต้องโดนลูกหลงแน่เลย
“ฉันเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ คงไม่ไหวจะไปเดินด้วยหรอก ฉันคิดว่าฉันจะพัก นายไปเถอะ”
“เธอเหนื่อยเหรอ?”
เออ เหนื่อยกับนายนี่ไง! ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ฮือ ใครก็ได้มาเอาเขาออกไปจากตรงนี้ทีเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว!
“ก็นิดหน่อยน่ะ” ฉันแสร้งตีหน้าอ่อนล้า และภาวนาให้เขากลับออกไป ฉันจะได้ล็อกประตูบ้านและหน้าต่างทุกบาน นี่ไม่แน่ใจว่าต้องติดยันต์ด้วยมั้ย หมอนี่จะได้ไม่กล้าเข้ามาเหยียบบ้านฉันอีก!
“งั้นก็ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องเดินเที่ยวกับฉันก็ได้” เขายิ้มหวาน นั่นทำให้แวบนึงฉันดีใจที่หมอนี่เข้าใจภาษามนุษย์กับเขาบ้างแล้วจนกระทั่งเขาพูดต่อ
“เดี๋ยวฉันจะอุ้มเธอไปเอง”
โอ้ พระเจ้า นอกจากเขาจะน่ากลัวแล้วยังบ้าอีกด้วย เรื่องจริงคือฉันไม่อยากไปกับเขา และถ้าเขาจะประสาทถึงขั้นมาอุ้มฉันออกไป ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
“อย่าเลย ฉันตัวหนักจะตาย”
“ฉันอุ้มเธอมาส่งบ้านได้ แล้วทำไมฉันจะอุ้มเธอไปเที่ยวไม่ได้ ตัวเธอเบาอย่างกับนุ่น ใช้แค่นิ้วชี้ยกขึ้นมายังได้” เขาพูดอะไรเว่อร์ๆ จนฉันถอนหายใจ เพราะรู้ว่าเถียงไปฉันก็ไม่ชนะ และไม่คิดว่าจะมีใครมาช่วยฉันได้ด้วย ฉันไม่เห็นวี่แววคนในบ้าน และถึงพวกเขาจะกลับมาฉันก็คงไม่กล้าบอก กลัวว่าจะตกใจและเป็นอันตรายถ้าพวกเขามาขวางไอ้ผู้ชายหน้าตาอาชญากรคนนี้
“ไม่ต้องหรอก ฉันเดินเที่ยวกับนายก็ได้” ฉันเอ่ยก่อนจะก้มหน้าเหนื่อยใจ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะสลัดเขาออกจากชีวิตได้ บ้านฉันเขาก็รู้แล้ว นี่มันซวยมหาซวยชัดๆ “แต่ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อนแล้วกันนะ”
ฉันพูดจบก่อนจะวางช้อนและกำลังจะลุกขึ้น หาวิธีหนีอยู่ในหัว ฉันกะว่าจะแอบปีนหน้าต่างห้องหายไปซะเลยดีมั้ย หากแต่ทุกแผนการของฉันก็พังลงในตอนที่เขาเอ่ยขึ้น...
“ก็ได้ แต่อย่าคิดตุกติก อย่าให้ฉันต้องแสดงให้เธอเห็นว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”