ความติ๊ต่างของเขามันชวนโมโหมากจริงๆ แต่ฉันไม่สามารถจะเหวี่ยงกลับได้เพราะแค่สบนัยน์ตาดุดันนั่น เข่าฉันก็อ่อน ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เขาไม่แค่พูดเปล่าแต่เขายังขยับเข้ามาพร้อมฝืนแรงที่ฉันพยายามดันด้วย เขาเบียดจนฉันแทบจะล้มลงกับชักโครก
ตึง!
“กรี๊ด!” ฉันร้องตกใจเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็เตะฝาพับชักโครกลง เขาทำหน้าเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทำอะไรเนี่ย”
ฉันร้องถามก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะบ้าพลังและยิ้มกรุ้มกริ่มดันฉันเข้ากับผนังกำแพง เสียงลมหายใจเขาถี่ขึ้น มือข้างนึงเขาล้วงเข้ามาสัมผัสผิวกายบริเวณเอวของฉัน และเมื่อความร้อนบริเวณฝ่ามือนั่นแพร่เข้ามาที่ร่างฉันก็สั่นกลัวขึ้นมาอีก
“ฮะ เฮ้” ฉันร้องเสียงเบาเพื่อเรียกสติคนตัวสูงที่จ้องฉันนิ่งๆ “ทำ... กรี๊ด!”
ฉันร้องแล้วตีหลังเขาอย่างแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่กำลังรุกรานอยู่บริเวณลำคอ มันร้อนจนฉันกลัว กลัวว่ามันจะไม่จบแค่นี้
“ฮึก” เสียงของฉันเงียบลงเพราะฝ่ามือหนาๆ ของเขาเลื่อนมาปิดไว้เสียก่อน คนตัวสูงมองฉันอย่างหัวเสียก่อนจะถอนหายใจหนักๆ และบอกกับฉันว่า...
“เธอจะร้องทำไม”
“...” เหมือนเขาถาม แต่ดันไม่ให้ฉันตอบเพราะหมอนี่ไม่เลื่อนมือออกจากปากฉันเลย ฉันได้แต่อึกอักอยู่ในลำคอ แสบร้อนไปทั้งทรวงอกด้วยความหวาดผวา
“คนเป็นแฟนกัน ก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ”
ทำ... ทำอย่างนี้คืออะไร ฉันไม่เข้าใจได้มั้ยวะเนี่ย! ขอบตาฉันร้อนผ่าวเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากแห้งและอุ่นกำลังจรดลงที่ผิวบริเวณลำคอ เสียงลมหายใจของเขาทำให้ฉันตัวสั่น ตาของฉันพร่า
“ทำ ทำอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้”
มะ ไม่ ฉันไม่อยากรู้โว้ย ใครก็ได้เอาหมอนี่ออกไปที ฉันเริ่มหายใจไม่ถนัดก่อนที่จะเกร็งไปทั้งร่างตอนที่ฝ่ามือหยาบนั่นจะขยับล้วงเข้าไปในเสื้อ ฉันห่อไหล่แล้วถลึงตาตกใจ ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องเขาก็ใช้มืออีกข้างปิดปากของฉัน และนั่นเป็นอีกครั้งที่พวกเราสบตากัน
ทุกอย่างเงียบสนิท เงียบจนบรรยากาศอึดอัดและอึมครึม เพราะความใกล้ทำให้ฉันเห็นใบหน้าคนตัวสูงชัดมากขึ้น จมูกของเขาโด่งเป็นสัน นัยน์ตาดุดันและน่ากลัวนั่นจ้องตรงมาราวกับมนตร์สะกด ริมฝีปากบางอมชมพูระเรื่อกระตุกยิ้มด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่น่าจะดีต่อชีวิตฉันมากนัก...
และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจำได้
Rrr Rrr…
Rrr Rrr Rrr Rrr…
“ชิท!” ฉันสะดุ้งโหยงเพราะเสียงโทรศัพท์ ตัวร้อนและเต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันรีบหมุนตัวเพื่อดูบรรยากาศรอบข้างอย่างสับสน เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะ... ฉันย่นคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมหัวใจอย่างตื่นตระหนก และพยายามควบคุมสติเมื่อเห็นไอ้ตุ๊กตาหมีขาวนอนอุ้ยอ้ายอยู่ตรงหน้าและพบว่าผ้าม่านสีเทา ผ้าปูที่นอนลายดาว ผ้าห่มสีฟ้า หรือแม้แต่ข้าวของทุกอย่างก็บ่งบอกว่าฉันอยู่ที่ห้องนอนของตัวเอง ไม่ใช่ในห้องน้ำอย่างที่ฉันคิด
ฝัน... ฝันเหรอวะ?
ฝันอะไร ทำไมเหมือนจริงโคตร ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนมีตัวตนจริงๆ หรือฉันแค่หลอนไปเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงฉันจะกลับมาอยู่บ้านได้ไง เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!
Rrr Rrr...
สมองของฉันยังคงประมวลผลไม่ถูก ฉันยังคงมึนงงกับสิ่งที่จำได้ในหัว แยกไม่ออกระหว่างฝันกับความจริง ฉันก็หันไปเห็นเบอร์โทรของป้าที่โทรเข้ามาหาฉันอย่างต่อเนื่อง ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะยกมือถือขึ้นมารับสายป้า
“ฮัลโหล”
[ไง เด็ม ได้ใช้น้ำหอมที่ป้าให้ไปรึยัง?]
โทรมาปุ๊ป เธอก็เข้าเรื่องที่ฉันกำลังหวาดระแวงเลย ฉันยังงงๆ อยู่เลยว่าฉันใช้ไปรึยัง หรือว่าฉันจะแค่ฝันร้ายวะ ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ฉันอาจจะเพ้อเจ้อไปเรื่อยก็ได้ ฉันย่นคิ้วแล้วเกาหัวแกรกๆ
“ทำไมป้า โทรมาเช็คผลเหรอ?” ฉันค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูห้องด้วยความมึนเบลอ ท้องร้องดังโครกเพราะกลิ่นอาหารที่ลอยขึ้นมาจากห้องครัวชั้นล่างของบ้าน ฉันทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะก้าวเท้าขวาออกจากห้องอย่างทุกครั้งเพราะฉันเชื่อว่าการก้าวเท้าขวาก่อนจะนำโชคดีมาให้ หันซ้ายหันขวา แสกนตามขอบประตูไม่มีจิ้งจกร้องทักเป็นอันใช้ได้ วันนี้ฉันต้องโชคดีแน่ ที่ฉันจำได้ก็เป็นแค่ฝันไปนั่นแหละ
[แหม ก็นิดนึง อยากจะรู้ว่าเป็นไงบ้างน่ะสิ]
“ป้า... เอาจริงนะ เพราะเด็มฟังเรื่องที่ป้าเล่า เด็มเลยเก็บไปฝันซะน่ากลัวเลย” ฉันว่าพลางแสบร้อนบริเวณหน้าอก แค่นึกถึงฉันก็หลอนแล้ว ฉันจ้อไปพลางเดินลงบันไดไปตามกลิ่นอาหาร
[หืม แกฝันอะไรล่ะ]
“ก็ฝันว่าดันเอาน้ำหอมไปสาดพลาดโดนผู้ชายคนนึงที่น่ากลัวมาก”
[สาด!]
“ใช่ หมดขวด”
[นี่ แกจะบ้าเหรอ เขาให้แค่ฉีดพรมๆ พอกรุ้มกริ่มให้เขารักเขาหลงนิดๆ หน่อยๆ] ป้าว่าด้วยน้ำเสียงปราม ฉันพยักหน้ารับพร้อมถอนหายใจยาวๆ [นี่แฟนป้าคนล่าสุด ป้าแค่ฉีดใส่หน้าไปสองซีซีเขาก็ตามติดเป็นกาละแม ขืนแกสาดหมดขวด ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันไม่เข้าสิงแกเลยเหรอ!]
ฉันหัวเราะกับสิ่งที่ป้าพูดก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อก้าวขาลงบันไดขั้นสุดท้าย นัยน์ตาสะดุดกับร่างสูงที่แสนคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน