ตอนที่ 6
พาแฟนขึ้นดอย 2
“หมี่” ขณะที่ขบวนเสลี่ยงกำลังเตรียมตัวจะเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยหมี่ขาวก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอ เตเดินออกจากกลุ่มปีสามนับร้อยที่จะคอยผลัดกันแบกเสลี่ยงช้างแก้ว[1] ใบหน้าที่ค่อนไปทางหล่อนั้นแลดูยุ่งเหยิงไม่น้อย พอหน้าผากมัดผ้าคาดโซตัสสีขาวเลยยิ่งดูเหมือนพวกแก๊งยากูซ่าที่เตรียมจะไปหาเรื่องต่อยชาวบ้าน ด้วยรูปร่างสูงโปร่งของเตเมื่อเดินเร็วๆ เข้ามาหาเธอเลยยิ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังจะถูกนักเลงโตรังแกไม่มีผิด
เดี๋ยว! มันไม่ใช่หนังยากูซ่าสักหน่อย แต่กางเกงยีนซามูไรของเตช่างเปล่งออกร่าแห่งความเท่ออกมาจนหมี่ขาวเองยังอดชมเพื่อนรักไม่ได้
“อยู่คนเดียวเป็นหมาหัวเน่าเลยนะ ฉายไปไหน” เตยีผมเธออย่างเมามันจนเธอต้องรีบปัดมือเพื่อนออก
“ผมจะยุ่งนะ ฉายมันไปกับเมฆแล้ว” หมี่ขาวมองหาเพื่อนอีกสามคน “คนอื่นไปไหนหมด”
“ได้แฟนแล้วลืมเพื่อน รอเจอมันเดี๋ยวฉันจัดการให้ ไอ้พวกนั้นอยู่โน่น” เตบุ้ยปากไปทางกลุ่มของคณะแพทยศาสตร์ “เฟิร์สไปหาแฟน ที่เหลือก็อย่างที่รู้ๆ กันอะ”
“แล้วนายไม่ไปด้วยเหรอ”
“ไม่อะ เบื่อ คุยไม่รู้เรื่อง” เตไม่ได้พูดเกินจริงเท่าไรนัก ล่าสุดที่หมี่ขาวนัดเพื่อนสองกลุ่มกินข้าวกัน คล้ายกับว่ากำลังทำสงครามย่อมๆ ระหว่างทีมสวนสัก(ส่วนใหญ่คือคณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของคลองชลประทาน)และทีมสวนดอก(เรียกเหมารวมเป็นคณะสายการแพทย์ทั้งหมด) ต่างฝ่ายต่างพ่นศัพท์เฉพาะที่คุยรู้เรื่องอยู่แต่พวกตัวเอง กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็โน่น จนเมากันนั่นแหละ
“เมื่อกี้ใครมาคุยอะไร ทำไมทำหน้าเครียด” เตสังเกตเห็นสักพักแล้วว่ามีผู้ชายมาคุยกับเพื่อนสาว แต่เขาติดพันอยู่กับการสลับเวรผลัดเปลี่ยนกันแบกเสลี่ยงอยู่จึงไม่ได้สนใจมากนัก พอหันมาอีกทีก็เห็นหมี่ขาวทำท่าด่าไล่หลังเลยคิดมาถามหน่อยเพราะกลัวมีเรื่อง
“พี่เทคมาชวนขึ้นดอย เลยทำการค้ากันเล็กๆ น้อยๆ น่ะ”
เตเลิกคิ้ว แววตาประหลาดใจ “พี่เทคเธอไม่ได้ตายไปแล้วเหรอ”
“สาบานว่านั่นปาก ใช้สมองคิดยัง?”
“ทำไมอะ ก็ตอนที่เธอจับได้พี่คนนั้น พี่เดย์ก็บอกแล้วตัวละครลับให้ทำใจ ฉันก็คิดว่าตายไปแล้วสิ” เตลอยหน้าลอยตาก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา “ขายไรอะ ขอดูบ้างดิ”
หมี่ขาวฟาดแขนเพื่อนรักทีหนึ่ง
“เล่นใหญ่”
“โอ๊ย ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า”
“แกจำเรื่องชาเลนจ์กับฉายได้ปะ ฉันขอให้เขาเป็นแฟนวันนึงอะ ลงดอยแล้วก็จบ” หมี่ขาวยิงฟัน “โอ๊ย!”
เตดีดหน้าผากเธอด้วยความหมั่นไส้ “ระวังหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้เบอร์มือถือผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ไม่น่าทันแล้วนะ” เธอหัวเราะแห้งๆ
เตโวยวายทันที ทำราวกับว่าตัวเองเป็นพ่อเธอเสียอย่างนั้น
“เป็นผู้หญิงให้เบอร์ผู้ชายแปลกหน้าได้ยังไง”
“เอ๊า เพื่อนอยู่มาปีนี้ปีที่สาม ผู้ชายเข้ามาทีก็มีหมามาเห่าบลั๊ฟคอยกันท่า ทีพวกแกยังหน้าด้านจีบสาวคณะอื่นได้ ทำไมฉันจะขอรุ่นพี่เป็นแฟนปลอมๆ สักวันไม่ได้ฮะ”
“ไม่รู้ล่ะ แกเป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิงแล้วไม่มีมือมีเท้าหรือไง ระวังเถอะฉันจะบอกน้องอ้อมว่าแกแอบคุยกับพี่จ๋าด้วย” คราวนี้เอาให้รถไฟชนกันพังพินาศไปเลย
เตรีบหน้าตาตื่น รีบล็อกคอเพื่อนสาวแล้วเอามืออุดปากทันที
“อะไรวะ เพื่อนเตือนด้วยความหวังดี นี่คิดจะลอบทำร้ายฉันเหรอ นังงูพิษ”
หมี่ขาวพยายามง้างแขนของเพื่อนออก แต่ว่าเตเป็นถึงนักกีฬามหาวิทยาลัย รูปร่างได้เปรียบกว่าเธอมาก ต่อให้ใช้แรงทั้งหมดที่มีก็ยังง้างไม่ออก
“ไอ้เอี้ยเอ! อ่อยอู!” สุดท้ายจึงได้แต่ด่าเสียงอู้อี้
“ปล่อยผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว”
เตมองเห็นผ้าคาดโซตัสหลากสีบนคอของคนพูด กระเป๋าช็อปปักรูปเกียร์อาชา รูปร่างสูงโปร่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นคนเดียวกับที่หมี่ขาวคุยด้วยจึงผ่อนแรงปล่อยให้หมี่ขาวเป็นอิสระ
พอคนตัวเล็กดิ้นหลุดได้ก็ต่อยแขนเตทีหนึ่งจนร้องเสียงดัง
“แรงควาย”
“ไม่เป็นไรนะหมี่” เก้าอี้ถามขึ้น ท่าทางเหมือนพร้อมจะมีเรื่องกับเตได้ทุกเวลา
หมี่ขาวที่ยังหอบกับการถูกเตแกล้งได้แต่หอบหายใจพร้อมกับพยักหน้า แต่เพราะผิวของเธอค่อนข้างขาว พอเลือดลมสูบฉีด ทั้งตัวก็แดงเถือกจนคนตกใจ
“ผมแค่เล่นกับเพื่อน” เตพูดเสียงเรียบ มองเก้าอี้ด้วยสายตาประเมิน
“ไม่มีอะไรค่ะพี่อี้ นี่เตเพื่อนหมี่เอง” กว่าจะคลำหาเสียงพูดตัวเองได้ก็นึกว่าจะเป็นลมไปก่อนแล้ว “เตเป็นน้องเทคพี่เดย์ค่ะ”
“อ้อ...ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” เขาปรายตามองเต ในประกายตาคล้ายกำลังแสดงออกถึงความคิดบางอย่างแล้ววนกลับมาที่หมี่ขาว “เก็บแรงไว้ขึ้นดอยด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
รอกระทั่งเก้าอี้กลับไปรวมกลุ่มกับประธานชมรมต่างๆ เตก็ลดเสียงเป็นเสียงกระซิบถามหมี่ขาวทันที “ฉันว่าหน้าพี่คนนี้คุ้นๆ ว่ะ แกเคยเห็นมาก่อนมั้ย”
หมี่ขาวส่ายหน้า เลิกคิ้วถาม
“ชอบเหรอ อยากได้เบอร์มั้ย”
“ชอบบ้านแกสิ” เตสะบัดเสียงใส่ “ฉันไปล่ะ เสลี่ยงต้องไปก่อน”
หมี่ขาวส่ายหน้าอย่างระอา เพื่อนผู้ชายในกลุ่มเธอมักจะชอบทำตัวเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าคอยสแกนและบลั๊ฟผู้ชายทุกคนที่เข้ามาหาหมี่ขาวและตะวันฉาย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง คณะเดียวกันหรือต่างคณะ ถ้าไม่ใช่คนรู้จักก็จะตามสืบจนรู้ยันโคตรเหง้า หรือถ้ารู้จักกันอยู่แล้วพวกเขาก็จะสรรหาข้อดีข้อเสียและเช็กลิสต์ว่าผ่านมาตรฐานหรือเปล่า หากได้มีโอกาสคบกันแล้วกี่ปีถึงจะเลิก ซึ่งที่จริงผู้ชายที่หลงเข้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเธอนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวข้องสักเท่าไรหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเรียนและเรื่องงานเสียมากกว่า
แต่ถ้าหากมารู้ทีหลังว่าผู้ชายทั้งสี่คนนี้ทำอะไรลับหลังเธอสองคนบ้าง บางทีพวกนี้อาจจะอายุสั้นก่อนวัยอันควร
ปีนี้คณะวิศวกรรมศาสตร์ออกสตาร์ตเวลาหกโมงสี่สิบห้านาที
สิ้นสุดการบูมใหญ่คณะ เมื่อเสียงบูมสั้นดังขึ้นก็เป็นสัญญาณแห่งการปล่อยตัวสมาชิกช้างเหล็กเข้าสู่เส้นทางสู่ดอยสุเทพ ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยศิษย์เก่าและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมไปถึงบรรดาพี่นายช่างที่กลับมารวมตัวอีกครั้งในวันขึ้นดอย มีบางกลุ่มที่ใส่ช็อปสีเลือดหมู ซึ่งนั่นบ่งบอกได้เลยว่าเป็นเกียร์ต้นๆ ที่ห่างจากรุ่นปัจจุบันยี่สิบสามสิบปี เพราะสมัยก่อนคณะวิศวะจะมีช็อปอยู่สองสี แบ่งเป็นเสื้อฟิลด์กับเสื้อช็อป สีเลือดหมูกับสีน้ำเงิน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้สีน้ำเงินกันหมดแล้ว ช็อปสีเลือดหมูจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอาวุโส
วิ่งเหยาะๆ ไปได้สักพักหนึ่งก็เริ่มหยุดที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย หมี่ขาวรีบทำหน้าที่ทันที
“น้ำ” เธอยื่นขวดน้ำให้เก้าอี้ เขารับขวดน้ำไปเปิด ใบหน้าชื้นเหงื่อยับย่นเล็กน้อยเพราะมือลื่นจนเปิดฝาขวดน้ำไม่ได้ หมี่ขาวได้ยินเสียงแซวจากรุ่นพี่ที่ถือธงคนอื่น แต่เธอไม่ได้สนใจ กะว่าเก้าอี้จิบน้ำเสร็จแล้วก็จะแบ่งให้คนอื่นจิบบ้าง แต่พอเก้าอี้เปิดฝาขวดน้ำไม่ได้ เธอก็ถอนหายใจอย่างระอา เช็ดมือของตัวเองกับเสื้อช็อปแล้วหมุนฝาขวดน้ำอย่างง่ายดายแล้วส่งให้อีกครั้ง
เขาจิบน้ำเล็กน้อย เพราะร่างกายยังไม่ได้เสียน้ำมากนัก หากกินเยอะไปจะทำให้จุกได้ การวิ่งระยะไกลต้องอาศัยความทรหด และต้องรู้จักกะระยะเวลาให้ดี ก่อนขึ้นดอยปีสี่อย่างพวกเขาต้องประชุมกันให้ละเอียดเพื่อเตรียมแผนรับมือกับสภาวะฉุกเฉิน ดังนั้นแล้วเมื่อสั่งหยุดแถวหน้าครูบาจึงเริ่มรันแผนการวิ่งไปในตัว รวมถึงเตือนสตาฟรุ่นพี่ให้ช่วยกำชับปีหนึ่งให้ดี
“ขอบใจ”
เธอรับขวดน้ำคืนมาแล้วหันไปถามพี่เดย์ “จิบมั้ยคะ”
“ฉันไม่ชอบกินน้ำขวดเดียวกับคนอื่น กลัวติดไวรัส”
หมี่ขาวยิ้มให้เดย์เป็นเชิงขอโทษ ขนาดเพื่อนตัวเองยังไม่เว้นเลยเหรอ แต่เธอก็เดินไปขอน้ำมาอีกขวดหนึ่งแล้วเปิดฝาส่งให้พี่เดย์โดยที่ไม่ถามอีก
“น้ำค่ะ”
“ขอบคุณนะ” พี่เดย์รับขวดน้ำไปพร้อมกับอมยิ้มแล้วส่งต่อให้เพื่อนคนอื่นจบคนละอึก
“น้องหมี่วันนี้มาเป็นสวัสดิการเหรอ” พี่ปีสี่คนหนึ่งถามขึ้น
หมี่ขาวไม่รู้จักเขาเลยส่งยิ้มให้แล้วส่ายหน้า
“เปล่าค่ะวันนี้รับจ้างส่งน้ำน่ะค่ะ”
“วันนี้น้องหมี่มาช่วยพี่เทคตัวเองขึ้นดอยน่ะ กว่าจะเสด็จมาที่มอได้ต้องอัญเชิญช้างแก้วนะโว้ย ไม่งั้นไม่ได้เห็นหน้าหรอก เห็นใจมันหน่อยเถอะ เผื่อเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะได้มีผู้จัดการ...มีคนช่วยเรียกรถพยาบาลให้” พี่เดย์เชือดเสียงนิ่ม ปีสี่คนอื่นหัวเราะเสียงดัง
“จริงว่ะ นี่ถ้าไม่ขึ้นดอย เจออีกทีก็คงกลางภาคโน่นละมั้ง”
“เป็นข้านะ ถ้ารู้ว่าน้องเป็นน้องหมี่ คร้านจะระริกระรี้ ให้เลี้ยงข้าวทั้งปียังได้เลย ฮ่าๆๆๆ” คนที่พูดคือพี่ทิมประธานเชียร์ปีสี่
เพราะเป็นประธานเชียร์ พี่ทิมจึงปล่อยให้ผมยาวและไว้หนวดเครา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นกลับไม่มีรุ่นน้องคนไหนรู้สึกรังเกียจเวลาโดนว้าก นั่นเป็นเพราะพี่ทิมเป็นผู้ชายหน้าไทยที่เหมือนคนสมัยโบราณ เรียกได้ว่าหน้าตาค่อนไปทางหล่อเข้ม สาวในคณะหลายคนยังลุ้นอยู่ว่าถ้าหากพี่ทิมตัดผมแล้วโกนหนวดเคราแล้วคงจะหล่อน่าดู
แต่เบื้องหน้าที่เป็นประธานเชียร์ พอได้รับบทโหดเป็นคนนำว้ากก็ต้องสร้างภาพลักษณ์อันน่าเกรงขาม แต่พอได้อยู่กับพวกเดียวกันเท่านั้นแหละ ทั้งหูทั้งหาง โผล่ออกมาอย่างไม่อายใครเลยทีเดียว
พี่เดย์หัวเราะในลำคอ “ถึงจะอยากระริกระรี้ แต่ทำไม่ได้ น่าสงสารออก”
“ร้อน อยากได้น้ำแข็ง” เพราะรำคาญเสียงพูดของเพื่อน เก้าอี้ขยับอกเสื้อที่เปียกเพราะเหงื่อ กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายทำเอาเธอผงะไปเล็กน้อย แล้วหมี่ขาวก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
พอดีกับที่มีคนเตือนพี่ทิม เขาจึงตะโกนเสียงดังบอกให้ทุกคนลุกขึ้น จากนั้นทุกคนก็กลับมาเข้าเลนของตัวเองอีกครั้ง สิ้นเสียงบูมสั้นคณะ ขบวนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เส้นทางมุ่งสู่ดอยสุเทพไม่ได้เงียบเหงาอย่างเคย ตลอดทางล้วนมีพี่นายช่างที่มาดักรอเชียร์รุ่นน้องคณะวิศวะพร้อมกับโบกธงเกียร์ของรุ่นตัวเอง ปากก็ตะโกนเชียร์เอาใจช่วย
“สู้ๆ น้อง! เหลืออีกสองโค้ง เอาหน่อย!”
เหลืออีกสองโค้ง...
หมี่ขาวกลั้นขำ ตอนที่เธออยู่ปีหนึ่งก็เป็นแบบนี้ เพราะคำว่าอีกสองโค้งนี่แหละ ทำให้เด็กปีหนึ่งวิ่งสู้ฟัด แต่หารู้ไม่ว่าเกือบทุกสองโค้งล้วนมีรุ่นพี่นายช่างคอยยืนเชียร์อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าโดนหลอกให้ฮึด จนกว่าจะถึงโค้งสปิริตโน่นแหละถึงได้ยิ้มออกกัน
เพราะกลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหวจึงเลือกที่จะไม่พูดเกินจำเป็น พอวิ่งไปได้สักพักร่างกายก็เริ่มส่งสัญญาณถึงความเหนื่อยล้า แต่ว่าการวิ่งระยะไกลไม่สามารถหยุดได้บ่อยนัก หัวแถวซึ่งเป็นบรรดาคนที่ถือธงจึงเดินบ้างวิ่งบ้างเพื่อให้ร่างกายค่อยคุ้นเคยและรักษาอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้ต่างกันมากนัก
ตลอดระยะทางราวสิบสี่กิโลเมตร ระหว่างขึ้นดอยได้หยุดพักครั้งใหญ่แค่ครั้งเดียวเมื่อถึงจุดชมวิว หมี่ขาวยังคอยช่วยดูเก้าอี้เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นลมไปอย่างที่พี่เดย์บอก ส่วนรุ่นพี่คนอื่นนั้นไม่จำเป็นต้องช่วยดูแลมากนัก เพราะว่าฝ่ายสวัสดิการส่งบรรดาสาวสวยมาคอยเสิร์ฟน้ำให้ จึงดูคึกคักยิ่งกว่าอะไร หมี่ขาวแวบไปดูบรรดาน้องในชมรมบ้าง เห็นว่าแต่ละคนหน้าตาสดใสกันดีก็ปลีกตัวออกมาคอยสังเกตเก้าอี้ต่อ สำหรับตัวเธอที่วิ่งขึ้นดอยติดกันปีนี้เป็นปีที่สามไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนัก แต่เพราะปกติไม่ได้ซ้อมวิ่งทางชันแบบนี้ อาการเหนื่อยล้าจึงแสดงออกมาให้เห็นเป็นเรื่องปกติ
กระทั่งถึงสองโค้งสุดท้ายจริงๆ อุณหภูมิรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่น หน้าตาของเด็กปีหนึ่งต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเดินผ่านน้ำตกขนาดเล็กไปจึงได้เห็นว่ามีรุ่นพี่จากคณะต่างๆ จำนวนมากคอยยืนปรบมือตลอดข้างทางที่นำไปสู่โค้งสปิริต ทุกคนส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม กว่าครึ่งของกองเชียร์เหล่านั้นคือบรรดารุ่นพี่คณะวิศวะที่เดินเท้าขึ้นมาก่อนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อเห็นว่าเสลี่ยงช้างแก้วกำลังรออยู่
ทุกคนได้พักอีกครั้งที่โค้งสปิริต
“น้ำค่ะ” หมี่ขาวส่งน้ำให้เก้าอี้ เขาจิบน้ำอีกไม่มาก จากนั้นก็ใช้น้ำราดหน้าตัวเอง ทำเหมือนพระเอกโฆษณาน้ำแร่ เสื้อที่ชุ่มเหงื่ออยู่แล้วยิ่งเปียกโชกไปอีก
“ผ้า”
“ผ้าอะไรคะ”
“ก็ผ้าที่เธอเหน็บไว้ไง”
หมี่ขาวจับผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเองที่ใช้ซับเหงื่อตลอดทาง
“ไม่ได้ค่ะ อันนี้ของหมี่ เดี๋ยวพี่อี้จะติดไวรัส”
แต่เก้าอี้ไม่สนใจ เขาส่ายหน้าแล้วดึงมันออกจากมือเล็กทันที
“ยืมก่อนเดี๋ยวซื้อคืนให้”
พูดจบก็เช็ดหน้าเช็ดผมตัวเอง ก่อนจะดึงผ้าคาดสีแดงที่คาดผมไว้ออกมา กลิ่นดอกไม้ไทยที่โชยออกมาจากผ้าเช็ดเหงื่อของหมี่ขาวทำให้เก้าอี้เลิกคิ้ว แต่ก็ปล่อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ทุกคนเหมือนนกกระจอกแตกรัง นอกจากปีหนึ่งที่ต้องพักในแถวแล้ว ปีแก่ทั้งหลายก็เริ่มจับกลุ่มกันถ่ายรูป จึงไม่มีใครสนใจหมี่ขาว
เก้าอี้สืบเท้าเข้าหาเธอ ถือวิสาสะตอนที่หมี่ขาวงงสวมผ้าคาดสีแดงไปที่คอเธออย่างรวดเร็ว คนตัวเตี้ยกว่าถอยหลังครึ่งก้าว ตกใจจนสูดกลิ่นโคโลญจน์จากตัวเขาเข้าเต็มปอด แม้จะบอกไม่ได้ว่าสดชื่น แต่เมื่อสบกับดวงตาคมของเขาก็ทำให้เธอใจเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ ต้องรีบเบือนหน้าหนี
“พี่อี้ทำอะไร” เสียงของเธอสั่นไหวราวกับคนจะเป็นลม
ถูกผู้ชายหล่อทำแบบนี้กับตัว จะมีชะนีกี่คนที่ทนไหว หนึ่งในนั้นต้องไม่ใช่เธอแน่นอน
“ก็จะถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ ใส่ผ้าคาดจะได้เนียนหน่อยไง” พูดจบมุมปากก็กดลึก ไม่มีใครเห็นว่าแววตาของเขาเป็นแบบไหน “ผ้าคาดโซตัสนี้มัดจำไว้ก่อนก็แล้วกัน ถือว่าแลกกับผ้าเช็ดเหงื่อผืนนี้”
หมี่ขาวนึกขึ้นได้ “แต่ตอนลงหมี่ก็ต้องใช้”
เก้าอี้ชูผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนขึ้นสูง “ปีนี้ไม่ต้องวิ่งลง ไม่ต้องใช้หรอก”
ทางมหาวิทยาลัยเปลี่ยนระเบียบใหม่ ให้นักศึกษาปีหนึ่งทุกคนนั่งรถแดงลงดอยเพื่อความรวดเร็วและความปลอดภัย
หมี่ขาวคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ล้วงมือถือตัวเองออกมา
“งั้นถ่ายรูปกันค่ะ หมี่จะไปหาเพื่อนแล้ว”
เก้าอี้พยักหน้า ตะโกนเรียกพี่เดย์ให้มาช่วยถ่ายรูป หลังจากหามุมดีๆ ถ่ายรูปเสร็จแล้วพี่เดย์ก็มองหน้าเก้าอี้พร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ “เข้าใจทำนะ”
“อย่าลืมที่ตกลงไว้”
“เหอะ ทำอย่างกับจะซ่อนได้” พี่เดย์ถอนหายใจ “แล้วเจอกันนะน้องหมี่ วันปิดเชียร์อย่าลืมมาล่ะ”
“ค่ะพี่เดย์”
หมี่ขาวไม่เข้าใจว่าสองคนนี้คุยอะไรกัน หลังจากได้รูปแล้วเธอก็ขอตัวแยกออกมาทันที
ตอนแรกเธอไม่กล้าขอดูรูปขณะที่ถ่าย แต่พอเปิดแกลลอรี่ออกมาดูก็พบว่าพี่เดย์ไม่ได้ถ่ายรูปให้เธอสักรูป หมี่ขาวรีบเงยหน้ามองหาคนต้นเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าสองคนนั้นหายหัวไปไหน เธอรีบส่งไลน์ถามเก้าอี้ทันที
หมี่ขาว : พี่อี้ หมี่ขอรูปหน่อยค่ะ
เก้าอี้ : อ้าว เดย์มันถ่ายให้แล้วไม่ใช่เหรอ
หมี่ขาว : ไม่มีค่ะ พี่อี้ส่งมาให้หน่อยนะ
เก้าอี้ : เพิ่งปิดเน็ตไปเมื่อกี้ แบตจะหมด
หมี่ขาว : เดี๋ยวสิพี่อี้ แค่กดส่งรูป
ปิดเน็ตแล้วทำไมส่งข้อความได้?
ข้อความในไลน์ยังไม่ถูกอ่าน เธอสงสัยว่าแบตมือถือของเก้าอี้คงจะหมดจริงๆ อย่างที่เขาว่า แต่พอกำลังจะเดินไปหากลุ่มเพื่อน ข้อความแจ้งเตือนในเฟซบุ๊กก็เด้งขึ้นมา
‘Someone likes noodles ต้องการเป็นเพื่อนกับคุณ
ยอมรับ ปฏิเสธ’
รูปโปรไฟล์ขนาดเล็กเป็นรูปของแมวอ้วนตัวหนึ่ง
ตอนแรกหมี่ขาวกำลังจะกดปัดทิ้ง แต่ว่ามือดันลั่นไปโดนปุ่มยอมรับแทนเสียอย่างนั้น ยังไม่ทันที่เธอจะกดเข้าไปเช็กข้อมูลในโปรไฟล์ของอีกฝ่าย ข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘Someone likes noodles ได้แท็กคุณในโพสต์’
เมื่อกดเข้าไปดูโพสต์ดังกล่าวหมี่ขาวก็ตัวแข็งเหมือนโดนเมดูซ่าสาปให้เป็นหิน
มันเป็นรูปของเธอกับเก้าอี้ หมี่ขาวกำลังยกแขนขึ้นรวบผมเพื่อให้เรียบร้อยก่อนที่จะถ่ายรูปและเอียงคอพอดี ส่วนเก้าอี้กำลังก้มมองเธอ ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นเพราะฝีมือการถ่ายภาพของพี่เดย์กันแน่ มันก็เลยดูเหมือนแฟนหนุ่มกำลังมองผู้หญิงของตัวเองด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มบางๆ ของเก้าอี้นั้นเหมือนรอยยิ้มของโมนาลิซ่า ที่ดูยังไงก็สามารถคาดเดาได้ร้อยแปด ที่สำคัญคือแฮชแท็กที่เขาพิมพ์ไว้
‘หมี่ขาวน้ำเงี้ยว #พาแฟนขึ้นดอย’
ตาย!
หมายถึงเธอน่ะตายแน่ คนบ้าอะไรขึ้นกล้องขนาดนี้ แล้วนั่น...
หมี่ขาวเบิกตากว้างขึ้น แข้งขาแทบจะอ่อนแรง ทำไมจำนวนคนกดไลก์มันขึ้นเร็วจนจะเป็นพันภายในสองนาที มีทั้งกดหัวใจ บ้างก็กดโกรธ ไหนจะคอมเมนต์มากมายที่พรั่งพรูจนโทรศัพท์ของเธอค้าง
หมี่ขาวรีบปิดอินเทอร์เน็ตแล้วโทรหาเก้าอี้ ทว่ากลับมีเสียงตอบรับอัตโนมัติของเครือข่ายว่า
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
“ดี...ดีมาก! วางระเบิดแล้วหนี นี่คิดว่าเล่นเกม Bomber man เหรอ”
[1] สมัยธรรมิกราชท้าวกือนา ได้อาราธนาพระบรมธาตุจากพระมหาสุมนและเหตุด้วยพระบรมธาตุนั้นได้แสดงปาฏิหาริย์ จากธาตุเจ้าองค์เดียวแบ่งเป็นสององค์ หลังจากบรรจุพระบรมธาตุไว้ในพระเจดีย์วัดสอนดอก(บุปผาราม) ตามที่พระองค์ได้ดำริให้จัดสร้างแล้ว และมีพระราชปรารภว่าจะจัดสร้างพระเจดีย์อีกองค์ โดยได้มีการอัญเชิญพระบรมธาตุองค์ที่สองนั้นบรรจุบนหลังช้างเผือก และทรงอธิษฐานต่อพระบรมธาตุนั้น ว่าหากมีสถานที่ใดเหมาะสมที่จะประดิษฐานพระบรมธาตุนี้ ให้ช้างเผือกนี้หยุดอยู่ ณ สถานที่นั้น ด้วยพุทธบารมีแห่งพระบรมธาตุนั้น ช้างเผือกได้มุ่งสู่ดอยอุจฉุบรรพต(ดอยสุเทพ) เมื่อถึงยอดเขาอันเป็นที่ราบเรียบเสมอกันช้างเผือกได้ทำประทักษิณ เดินเวียนขวาสามรอบ และได้หมอบลง ธรรมิกราชท้าวกือนาและพระมหาสุมน จึงให้คณะที่ตามก่อเจดีย์และประดิษฐานพระบรมธาตุนั้นไว้ การแบกเสลี่ยงช้างแก้วจึงนับเป็นการเล่าขานประวัติศาสตร์ที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เรียบเรียงจากอ้างอิง : 1.) มูลศาสนา สำนวนล้านนา ; พระมหาสง่า ธีรสังวโร 2553