bc

ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ Season 1

book_age18+
1.0K
FOLLOW
6.9K
READ
possessive
bxg
genius
game player
campus
childhood crush
first love
engineer
like
intro-logo
Blurb

ทุกปีในมหาวิทยาลัย C จะมีประเพณีขึ้นดอย

ซึ่งนั่นเป็นกิจกรรมรับน้องที่ได้รับความสนใจอย่างมาก

โดยเฉพาะกับสาวโสดที่กำลังหมายตาหนุ่มหล่อต่างคณะ

โดยเฉพาะหนุ่มวิศวะ

การเข้าร่วมประเพณีขึ้นดอยนี้อาจทำให้ใครบางคนได้รับผ้าคาด SOTUS

และนั่นอาจทำให้พวกเธอกลายเป็นที่น่าอิจฉาภายในวันเดียว

“หมี่ขาว” สาววิศวะที่โสดขึ้นดอยเป็นปีที่สาม

เธอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนนั้น

แต่ทว่าเพราะคำท้าที่รับปากเพื่อนด้วยความคึกคะนอง

ทำให้เธอตกปากรับคำชวนของ “เก้าอี้”

ตัวละครลับของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า

ซึ่งวันนี้เขากลายเป็นพี่ปีสี่ ผูดผ้าคาด SOTUS สีแดง

และวิ่งถือธงเกียร์นำขึ้นดอย

เพียงเพราะเขาเดินมาทักและชวนเธอด้วยถ้อยคำเรียบง่าย

“ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ”

chap-preview
Free preview
Prologue สายฟ้ามากับสายฝน
Prologue สายฟ้ามากับสายฝน ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 1 สมัยที่การสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาไม่ได้แบ่งย่อยจนปวดหัวแบบนี้ เด็กม.ปลายส่วนใหญ่จะเลือกหาที่เรียนพิเศษเพื่อติวสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่ไม่มาเรียนและเข้าแคมป์ติวเข้ม หรือเรียนพิเศษเข้มข้นตอนเย็น เป็นเช่นนี้เหมือนกับวงจรอุบาทว์ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นเสียที แต่ ‘หมี่ขาว’ ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีในโชคร้ายหรือเรื่องร้ายในโชคดีกันนะ เพราะที่บ้านของเธอมีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ได้รับเงินทุนการศึกษาแบบเต็มก็ยังบอกไม่ได้ว่าสบายจนสามารถเรียนพิเศษได้ ทุนการศึกษาที่ได้ยังมีเงื่อนไขอยู่ว่าห้าม ‘กู้เงินเรียน’ แน่ล่ะ...สำหรับเด็กที่มีฐานะปานกลางมาจนถึงยากจนล้วนต้องได้ยินเรื่องการกู้เงินเรียนจากรัฐบาล บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี เพื่อนของเธอหลายคนได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)[1] มีทั้งที่บ้านฐานะยากจนจริงๆ และบ้างก็กู้มาเพื่อใช้จ่ายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผ่อนโทรศัพท์มือถือ ซื้อของใช้ จ่ายค่าเรียนพิเศษ โชคดีหน่อยที่เธอได้เรียนเป็นหลักสูตรพิเศษ แม้ว่าค่าเทอมจะแพงกว่าหลักสูตรทั่วไป แต่เพราะเธอได้ทุนเต็มจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เนื้อหาที่เรียนจะเน้นหนักกว่าห้องเรียนอื่นและสุดท้ายยังสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนห้องอื่นตั้งหนึ่งเทอม ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบของนักเรียนห้องเรียนพิเศษ หลักสูตรที่ว่านี้จะเน้นหนักไปทางกิจกรรม ทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมนอกเวลา รวมไปถึงค่ายโอลิมปิกวิชาการของเขตภาคเหนืออีกด้วย ค่ายโอลิมปิกวิชาการเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัส คุณจะได้พบเจอทั้งรุ่นพี่มหา’ลัยหนุ่มหล่อขาวตี๋ สาวสวยหมวยอึ๋มหรือคนอ้วนเตี้ยล่ำ ผอมกะหร่องเหมือนปลาแห้ง แม้กระทั่งตัวใหญ่ยักษ์แต่น่ารักใจดี สิ่งที่พลาดไม่ได้ในชีวิตมอปลายคือค่ายโอลิมปิกวิชาการเฉพาะสาขา ซึ่งจำลองชีวิตการเรียนหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย การแข่งขันระหว่างโรงเรียนต่างๆ ในภาคเหนือ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางการแข่งขันก็ยังมีมิตรภาพเกิดขึ้น ยามระลึกถึงเมื่อไรก็ยังคงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกดีๆ บางครั้งอาจทำให้พบเจอคนที่คุณปิ๊ง หรือแม้แต่อาจารย์ที่น่ารักซึ่งในอนาคตอาจจะได้สอนคุณในระดับอุดมศึกษา หากคุณสามารถผ่านไปยังค่ายสองหรือค่ายสามได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นใบเบิกทางชั้นดีสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังต้องการเรียนต่อในสาขาที่สนใจอีกด้วย ในช่วงเทอมแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนร่วมห้องรวมทั้งหมี่ขาวเองก็เริ่มส่งใบสมัครในสาขาวิชาที่สนใจตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมแฟ้มสะสมผลงานเพื่อหวังให้ผ่านการคัดเลือกแบบรับตรง แน่นอนว่าสำหรับเด็กที่ผ่านค่ายโอลิมปิกวิชาการ หรือเป็นเด็กที่เรียนดีก็จะมีข้อได้เปรียบตรงนี้อยู่ ยื่นไปที่ไหนก็จะผ่านไปยังรอบสัมภาษณ์ตามเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยต่างๆ กำหนด แต่เด็กภาคเหนือจะทราบกันดีว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเด็ก ม.6 ต้องผ่านการสอบสุดหินที่เรียกว่า ‘สอบโควตา’ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนบางคนในห้องเรียนถึงหายไปเพื่อติวเข้ม หรือตั้งใจอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน เพื่อนในห้องของหมี่ขาวครึ่งหนึ่งเก็บตัวติวหนังสือเข้ม สามในสิบมีที่เรียนแล้ว และที่เหลือคือเด็กขี้เกียจซึ่งมักจะเล่นกีฬาหรือหาอะไรทำในช่วงที่ทุกคนกดดันด้วยความเครียด แน่นอนว่าเพื่อนในกลุ่มของเธออยู่ใน 50% ที่ติวเข้ม ส่วนเธอนั้นกลายเป็นแกะดำของกลุ่มไปแล้ว เพื่อนคนแรกรู้ตัวว่าจะเรียนแพทย์ตั้งแต่ ม.4 ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเรียนมาก ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วก็เถอะ เพื่อนคนนี้ชื่อ ‘ปลา’ ด้วยความที่ครอบครัวทำมาค้าขาย พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่ หมี่ขาวจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งปลาอยากเก่งภาษาอังกฤษ เธอซื้อแผ่นเกม Assasin’s Creed มาเล่น เปิดโหมดเสียงภาษาอังกฤษและซับภาษาอังกฤษ ฝึกอยู่พักหนึ่งปลาก็เริ่มคล่องภาษาอังกฤษ และเริ่มเพิ่มระดับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือนอกเวลาของ Oxford หมี่ขาวมักจะไปนอนบ้านปลาและกินข้าวฟรีอยู่เป็นประจำ อาศัยช่วงที่ปลาตั้งใจอ่านหนังสือเล่นเกม Pharaoh เธอจะอ่านหนังสือเรียนบ้างเมื่อเห็นว่าปลาเพื่อนของเธอตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปจนรู้สึกละอาย ตอนสมัครสอบโควตา มหาวิทยาลัย C กำหนดให้เลือกได้สองอันดับ ปลาเลือกอย่างมั่นใจ 1.คณะแพทยศาสตร์ 2.คณะทันตแพทยศาสตร์ หมี่ขาวคอตก ฉันขี้เกียจแบบนี้ ไม่อยากเรียนหมอ ไม่เอาสายการแพทย์ ไม่อยากเป็นครู แล้วเธอเกิดความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเธออยากแอดมิชชั่นเรียนฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ คนอื่นอาจจะคิดว่าไกลเกินฝัน แต่สำหรับเธอนั้นไม่เคยคิดว่าความฝันอยู่ไกลเกินเอื้อม สุดท้ายก็เลือกสิ่งที่บ้าบิ่นที่สุดสำหรับตัวเอง 1.คณะแพทยศาสตร์ 2.คณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อนอีกสี่คนที่เหลือซึ่งช่วงนั้นแทบไม่ได้คุยกัน ต่างก็เลือกคณะสายการแพทย์ ทุกคนมีความฝัน ความฝันของเด็ก ม.6  ทุกคนคือได้เรียนในคณะที่ชอบ มหาวิทยาลัยที่ใช่ ช่วงสอบหมี่ขาวถือว่าเป็นเด็กขยัน หมายถึงว่าขยันกว่าช่วงปกติ 30% ซึ่งตัวเลขนี้ค่อนข้างน่าตกใจ เพราะเธอยังคงไปร้านเกมและเช่านิยายมาอ่านได้ทุกวัน สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยเรียนพิเศษอย่างเธอ ยังมีความสุขในการอ่านนิยายมากกว่าอ่านหนังสือเรียนสุดๆ แต่ว่าเธอไม่สามารถละทิ้งอนาคตได้ กลัวว่าถ้าหากไม่กระตุ้นตัวเองสักหน่อย แม้ว่าจะเป็นเด็กฉลาดขนาดไหนก็พลาดได้ และแม่ของเธอคงเสียใจถ้าหากเธอยังไม่สนใจอนาคตของตัวเอง ที่จริงผลการสมัครรับตรงของมหาวิทยาลัยอื่นส่งมาแล้ว แต่หมี่ขาวไม่ได้ตอบรับ ที่จริงเธอเคยยื่นสมัครคณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหนึ่ง แต่ดันลืมจ่ายค่าสมัคร เธอคิดว่าถ้าครั้งนั้นสมัครสอบแล้วติด ชีวิตนี้เธออาจไม่ต้องเรียนเคมีอีกเลยตลอดชีวิต ใช่...เด็กเรียนดีก็มีวิชาที่เกลียด เธอเกลียดเคมี ความขยันของหมี่ขาวเพิ่มมาเป็น 50% ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบโควตา ในวันสอบนั้น เด็กศิลป์จะได้รับข้อสอบหมวดวิชาวิทยาศาสตร์คนละฉบับกับเด็กสายวิทย์ และจะมีเวลาในการทำข้อสอบน้อยกว่าเด็กสายวิทย์ 90 นาที หมี่ขาวทำชีววิทยาก่อน เพราะเธอไม่ถนัด แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่แบบเคมี ฟิสิกส์คือวิชาสุดท้ายที่เธอเลือกทำ และขณะที่เธอเพิ่งเริ่มทำวิชาฟิสิกส์ กริ่งของโรงเรียนก็ดังขึ้น หมี่ขาวสะดุ้ง เธอลุกขึ้นแล้วสบถในใจว่า ฉิบหายแล้ว อาจารย์คุมสอบเกือบเดินมาเก็บข้อสอบแล้ว ตอนนั้นสติของเธอกระเจิดกระเจิง หมี่ขาวรีบฝนข้อสอบอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านไปราวห้านาที มีอาจารย์อีกคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเป็นกริ่งของสายศิลป์ สายวิทย์ยังมีเวลาทำอีกเหลือเฟือ หมี่ขาวถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ช่วยไม่ได้ สติเธอกระเจิงไปนานแล้ว ได้แต่น้ำตานองในอกเพราะเนื้อหาที่อ่านมาไหลออกไปตั้งแต่ตอนที่กริ่งดังแล้ว วิชาสุดท้ายของการสอบโควตา สำหรับคนที่เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ มันคือการสอบพื้นฐานทางวิศวกรรม มันคือข้อสอบเชาวน์ปัญญา เธอเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างตอนสอบวัด IQ ในห้องเรียนพิเศษ ดังนั้นมันค่อนข้างมองออกง่าย ที่ง่ายที่สุดคือ Drawing หมวดนี้เป็นการมองภาพรูปทรงต่างๆ เธอผ่านมันไปอย่างง่ายดาย ผลสอบออกมาในเย็นของวันหนึ่ง เป็นวันเดียวกับที่แม่พาเธอไปสอบถามพี่คนหนึ่งที่เรียนมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพ เพราะแม่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เธอไปสอบสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยแห่งนั้นดีหรือไม่ แต่สุดท้ายแม่ก็ตัดสินใจได้ เพราะลูกพี่ลูกน้องของเธอดันมาบอกว่า “อย่าให้น้องไปเลยอา ร้านเหล้าเยอะ” เย็นวันนั้นเพื่อนรักอีกคนของหมี่ขาวโทรมา บอกว่าเธอติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า หมี่ขาวสมองลัดวงจรไปพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าผิดหวังที่ไม่ติดหมอ แต่ที่อึ้งเพราะเธอไม่คิดหวังว่าจะติดโควตา แถมตอนนั้นยังไปบนไว้ดิบดีว่าจะกินเจถ้าติดคณะอะไรก็ได้ ส่วนแม่นอยด์ไปพักใหญ่ เพราะแม่ไปบนขอให้ลูกสาวติดหมอ ลูกสาวมารู้ทีหลังหัวเราะไม่ออก เธอไม่คิดว่าแม่จะคาดหวังให้เธอเรียนหมอขนาดนั้น อีกอย่างไฟในใจของเธอดับไปนานแล้วตั้งแต่ตอนที่เสียคุณยายไป เส้นทางการเป็นหมอของเธอปิดลงตั้งแต่ตอนนั้น เหลือเพียงความฝันเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ตั้งแต่ประถม ฉันอยากทำงานกับ NASA เพื่อนของเธอคนที่โทรมานั้นติดทันตแพทยศาสตร์ ส่วนปลาติดแพทยศาสตร์ และเพื่อนอีกสี่คนยังไม่มีที่เรียน มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ชีวิตเด็ก ม.ปลายไม่ได้มีทางเลือกมากเหมือนกันทุกคน ตัดมาที่ตอนสอบสัมภาษณ์ อาจารย์ผู้สัมภาษณ์สอบถามเธอว่าทำไมถึงอยากเรียนวิศวะ หมี่ขาวยิ้มเขินๆ บอกตามตรงด้วยความรู้สึกแรงงกล้า “หนูชอบเอนจิเนียร์ในเกมยูริมากเลยค่ะ หนูอยากเป็นแบบนั้น” อาจารย์หัวเราะ บอกว่าเรียนวิศวะยากนะ จะไหวเหรอ หมี่ขาวยิ้มแห้ง จากนั้นก็จบการสัมภาษณ์แบบงงๆ ล่วงเข้าสู่ปีที่สาม เธอกำลังจะเป็นพี่ว้าก หลังจากผ่านการรับน้องในปี 1 ผ่านเสียงหัวเราะและกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย จากเฟรชชี่ก้าวเข้าสู่ปีสอง จากปีสองก้าวเข้าสู่ปีสาม ผ้าคาด SOTUS ในปีนี้ของเธอกลายเป็นสีขาวแล้ว มันเป็นเช้ามืดของวันขึ้นดอย หมี่ขาวหัวเราะกับตัวเอง เธอทอดสายตามองรุ่นน้องปี 1 ที่ยังไม่ถูกเรียกน้อง มองเด็กน้อยทั้งหลายด้วยสายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านชีวิตมหาวิทยาลัยมาพอควร ราวกับผู้เฒ่าในนวนิยายกำลังภายในที่ทอดสายตามองศิษย์ใหม่ก้าวเข้าสู่พิธีการของสำนัก วันที่พี่จะได้เรียกน้อง วันที่ลูกช้างจะได้ไหว้พระธาตุ วันที่เสลี่ยงของเกียร์สายฟ้าจะเหินขึ้นดอย ในช่วงเวลาที่คล้ายกันเมื่อสองปีก่อน เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดฝนถึงตกในวันที่เปิดสายรหัส สวนสนเต็มไปด้วยรุ่นพี่เกียร์ต่างๆ และต่อมาไม่นานนัก ก่อนเธอจะขึ้นปี 2 ชั้นปีของเธอก็ได้เสื้อช็อป...เกียร์สายฟ้า หมี่ขาวยิ้มกับธงเกียร์ที่โบกพลิ้ว หวังว่าปีนี้ฝนจะไม่ตก เพราะสายฟ้า...มากับสายฝน [1] กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ตัวย่อ: กยศ.) (อังกฤษ: Student Loan Fund) เป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ในกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ในลักษณะต่าง ๆ

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

My virgin guy! ภารกิจอันตรายท้าชนหัวใจนายเวอร์จิ้น

read
5.0K
bc

Bad love Mafai รักร้ายนายมาเฟีย

read
13.2K
bc

ฮูหยินแม่ทัพมากวาสนา

read
9.7K
bc

หวานใจยัยขี้อ่อย

read
7.9K
bc

อ้อนรักหนุ่มบริหาร R18+

read
23.2K
bc

พันธนาการร้ายซ่อนรัก

read
2.2K
bc

JUST A TOY จะร้ายหรือจะรัก

read
3.1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook