“ตาย ๆ ไอ้หลิว จะเข้าเรียนทันไหมเนี่ย” ฉันวิ่งตีนแตกลงจากรถรางของมหา’ลัย รองเท้าผ้าใบก็ยังใส่ไม่ดีเลยต้องวิ่งไปใส่ไป หวิดจะล้มหัวฟาดพื้นหลายครั้งแต่ก็ยังรอดมาได้
เรื่องของเรื่องคือวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของชีวิตนักศึกษาในรั้วมหา’ลัย เด็กใหม่อย่างฉันที่เมื่อคืนมัวแต่ตื่นเต้นเลยนอนไม่ค่อยหลับ มาหลับเอาจริงจังตอนตีสี่ทำให้ตอนนี้ต้องเท้าไฟวิ่งให้ทันเรียนคาบแรก
“โอ๊ยยยย!” แต่ดูเหมือนเทวดาฟ้าดินไม่เป็นใจ ยิ่งรีบยิ่งส่งคนร่างใหญ่เดินตัดหน้าชนกันจนดังปึก แถมยัง...
“ไม่มีใครบอกเหรอเวลาเดินให้ลืมตา” ปากหมา!
“แล้วไม่มีใครบอกเหรอว่าอย่ากระซิบลี่คนอื่น” ฉันแค่ตาตี่ไปหน่อยเท่านั้นเองไม่ได้หลับตาเดินสักหน่อยทำไมต้องมาว่ากันด้วยไอ้ตัวใหญ่ปากเสีย
“บูลลี่ตรงไหน ก็เมื่อกี้เธอไม่ลืมตาจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะเดินชนฉันได้ยังไง”
“ไม่ให้ชนได้ไงในเมื่อนายเดินตัดหน้าฉัน ไม่เห็นรึไงว่าคนกำลังรีบ” พูดถึงเรื่องรีบนี่มันกี่โมงแล้ว ตาย ๆ อีกแค่ห้านาทีจะถึงเวลาเรียน
“จะไปไหนยัยเตี้ย” พูดไม่พอยังดึงปกเสื้อนักศึกษาของฉันไว้ ไอ้บ้านี่มันต้องการอะไรจากฉันเนี่ยคนยิ่งรีบ ๆ อยู่
“ไปเรียนสิไอ้บ้า ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย เดินชนคนอื่นไม่ขอโทษแล้วยังคิดจะชิ่ง มารยาทสะกดเป็นบ้างไหม”
“เป็น แต่ฉันไม่คิดจะใช้กับคนสันดานเสียอย่างนาย ปล่อย! ปล่อยได้แล้วโว้ยยยย” พยายามตีมือหยาบให้ปล่อยจากปกเสื้อ แต่ตียังไงไอ้บ้านี่ก็หนังหนาสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่มีความรู้สึก
“กล้าว่าฉันสันดานเสียเหรอยัยตัวเตี้ยตาบอด”
“ตาฉันแค่ตี่เว้ยไม่ได้บอด! อีกอย่างฉันสูงตั้งร้อยห้าสิบสอง สูงขนาดนี้บ้านนายเรียกเตี้ยไงไอ้งั่ง”
“โอ๊ยยยย ไม่เรียกเตี้ยธรรมดาแต่เรียกว่าเตี้ยมาก พึ่งเคยเจอคนเตี้ยที่มั่นหน้าว่าตัวเองสูง สงสารจัง”
“ไอ้บ้านี่ ฉัน ฉัน” โกรธจนตัวสั่น กัดฟันงัดเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดมือหยาบช้าได้สำเร็จ หมุนตัวตั้งท่ายกเท้าขวาเป้าหมายคือจุดยุทธศาสตร์กะว่าจะเอาให้เจ็บจุกไปเลยทั้งอาทิตย์ ติดที่ว่า...
“หยุด! พวกแกสองคนทำอะไรกัน” คนมาใหม่มองหน้าฉันสลับกับไอ้ยักษ์ “ลืมเอาหูมาจากบ้านรึไงทำไมไม่มีใครตอบ เมื่อกี้ทำอะไรหลิว แล้วมึงทำอะไรน้องกูไอ้ห่าเขี้ยว”
“น้อง?”
“เออ ไอ้หลิวน้องกู ที่เคยเล่าให้ฟังไงว่าจะมาเรียนที่นี่” ไอ้ปากไม่ดีมองหน้าฉัน สายตาหยาบคายไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หน้าไม่เห็นเหมือนมึง ตาก็ตี่ตัวก็เตี้ย”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้เตี้ย!”
“พอ ๆ” เฮียหลงรีบเดินเข้ามาแยก “ไม่อายคนกันบ้างว่ะ มหา’ลัยนะเว้ยไม่ใช่ตลาดสด”
“ก็เพื่อนเฮียปากหมา”
“แล้วเธอปากดีมากมั้ง เดินชนคนอื่นไม่ขอโทษสักคำ”
“ไม่ได้ผิดจะขอโทษทำไม จู่ ๆ เดินมาตัดหน้า ตัวอย่างกับยักษ์ใครมันจะหลบทัน”
“นี่ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดอีกเหรอห๊ะ!”
“พอ!” คราวนี้เฮียหลงตะโกนดัง “ใครผิดใครถูกเอาไว้คุยทีหลัง ตอนนี้จะเข้าเรียนไม่ทันสักคนแล้วไอ้เหี้ย!” พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ตาโต ตาย ๆ มัวแต่เถียงกับไอ้ยักษ์จนลืมไปเลยว่าต้องรีบขึ้นห้องเรียน
“งั้นหลิวไปแล้วนะเฮีย ส่วนนายฉันจะกลับมาคิดบัญชี”
“รอนะจ้ะยัยเตี้ย” ถึงอยากหันหลังเอามือสวย ๆ ฟาดปากสักทีแต่ก็ต้องข่มใจ เดินหน้ากำมือแล้วรีบวิ่งขึ้นบันได ดีที่ห้องเรียนอยู่แค่ชั้นสามไม่อย่างนั้นคงได้หอบเหมือนปอบมากกว่านี้
“ทำไมช้า” ไอ้แนนกระซิบถาม เพื่อนสนิทเอากระเป๋าที่ใช้จองโต๊ะออกฉันเลยรีบสอดตัวนั่ง ทำตัวลีบเล็กที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
“เจอคนบ้ามาน่ะสิ” พูดแล้วอยากจับมาหักคอ
“ในมหา’ลัยเนี่ยนะ?”
“อือ”
“เป็นไปได้ไง แล้วลุงยามจับได้ยัง” ถึงกับต้องกลอกตาถอนหายใจให้ความซื่อจนบื้อของเพื่อนสนิท พูดอะไรก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงไปหมดไอ้แนนเอ๊ย
“เอาไว้เล่าให้ฟัง” ตัดบทไว้แค่นั้นเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเริ่มการสอน คาบแรกยังไม่มีอะไรมากแค่แนะนำรายวิชาแล้วก็เนื้อหาที่จะใช้เรียนในเทอมนี้ รวมถึงการให้คะแนนเพื่อวัดผลตัดเกรด ฉันกับไอ้แนนฟังอย่างตั้งใจ จดทุกอย่างที่จำเป็นต่อการได้เกรดเอ เพราะเราสองคนคุยกันไว้ว่าสี่ปีต่อจากนี้ต้องคว้าเกียรตินิยมมาให้ได้
“เล่าได้ยังเรื่องคนบ้าที่แกเจอ” ออกจากห้องเรียนได้ไม่กี่ก้าวเพื่อนสาวก็แสดงออกถึงความอยากใส่ใจ “เขาทำอะไรแกรึเปล่า”
“ห่วงช้าไปไหม แกควรถามตั้งแต่ที่ฉันเดินเข้าห้อง” สมองประมวลผลช้าหลายชั่วโมงเลยเพื่อนรัก
“โทษที ลืม” คนพูดยิ้มแหยแล้วรีบเข้ามาออเซาะ “สรุปเป็นอะไรไหม”
“ไม่เป็น มีแค่อารมณ์เสียจนอยากถลกหนังหัวคน”
“ทำไม”
“ไอ้ยักษ์นั่นมันกวนตีน หน้าตาไม่ดีแล้วยังปากหมา” ไม่อยากเชื่อว่าเฮียหลงจะมีเพื่อนสันดานเสียแบบนี้ด้วย เคยเจอแต่เฮียฮั่นที่หล่อดีมีสกุล พึ่งเคยเจอคนสถุลก็คราวนี้
“หมายถึงคนบ้าคนนั้นเหรอ” ไม่รู้ต้องถอนหายใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอ
“อือ”
“ฉันยังงงไม่หายว่าทำไมมหา’ลัยถึงปล่อยให้คนบ้าเข้ามาได้”
“แนนเพื่อนรัก ฉันแค่เปรียบเทียบว่ามันเหมือนคนบ้า”
“อ้าว นึกว่าเรื่องจริง” เพื่อนสาวทำหน้างง
“ฉันละเบื่อแกจริง ๆ” เป็นอีกครั้งที่ต้องส่ายหัว “ไอ้บ้าที่ฉันพูดถึงเป็นเพื่อนเฮียหลง”
“หือ แล้วไปไงมาไงถึงได้มีเรื่องกัน ไม่ใช่ว่าแกรู้จักเพื่อนเฮียทุกคนเหรอ” นั่นสิ ฉันว่าตัวเองรู้จักเพื่อนพี่ชายทุกคนเพราะพวกเขามักแวะไปเล่นที่ค่ายมวยอยู่บ่อย ๆ แต่กับไอ้เขี้ยวอะไรนั่นพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
“ไอ้บ้านั่นเดินตัดหน้าแล้วหาว่าฉันหลับตาเดิน” คนฟังกลั้นหัวเราะ ฉันตีมือลงแขนเล็กพร้อมกับขึงตาใส่
“โดนบู้บี้เรื่องตาอีกแล้วเหรอ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโดนหาว่าหลับตา แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ฉันโมโหเลือดขึ้นหน้า อาจเพราะหน้าตาวอนตีนของคนพูดหรือจะอะไรหลายอย่างที่รวมเป็นไอ้ร่างยักษ์ถึงทำให้ฉันอารมณ์เสียขนาดนี้
“มันบอกด้วยว่าฉันเตี้ย”
“อ่า... เถียงไม่ได้ซะด้วยสิ” เป็นอีกครั้งที่ฉันขึงตาใส่เพื่อนสนิท “แกต้องหัดยอมรับความจริงนะหลิว”
“ก็ถ้าเป็นความจริงฉันยอมรับอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่ไง สูงตั้งร้อยห้าสิบสองเลยนะ ร้อยห้าสิบสอง” ฉันว่าร้อยห้าสิบก็สูงแล้วนะ เพราะฉะนั้นฉันที่สูงร้อยห้าสิบสองจะเตี้ยได้ยังไง
“สูงก็สูง สูงกว่าหลักกิโลมานิดหนึ่ง”
“ไอ้แนน! แกอยากหมดลมหายใจก่อนวัยอันควรใช่ไหมหา!” วิ่งเตะไอ้เพื่อนปากไม่ดี แทนที่จะเข้าข้างกันยังมีหน้าไปเข้าข้างไอ้ร่างยักษ์ อย่าให้จับได้นะไม่อย่างนั้นฉันจะส่งแกไปอยู่กับมันให้รู้สึก!