• คมเขี้ยว
“มีอะไรดี ๆ งั้นเหรอคะ ทำไมพี่ชายขิงถึงได้เดินยิ้มเข้าบ้าน” น้ำขิงวิ่งเข้ามาหา น้องสาวเอียงคอซ้ายทีขวาทีพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ยิ้มตอนไหน” ผมผลักยัยเด็กอยากรู้อยากเห็นให้ถอยห่าง ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลออมยิ้ม
“ขิงไม่เล่าให้ใครฟังหรอกบอกมาเถอะ”
“ไม่มีอะไรให้บอก” หรือถ้ามีก็ไม่เล่าให้ฟังหรอก คนอย่างน้ำขิงไว้ใจไม่ค่อยได้ พูดตลอดว่าจะไม่เอาไปบอกใคร แต่พอผมเล่าอะไรไปก็ถึงหูพ่อกับแม่อยู่ดี
บ้านหลังนี้เราอยู่กันแค่สองคนพี่น้อง ด้วยความที่พ่อแม่ต้องทำงานต่างประเทศทำให้ผมกลายเป็นผู้ปกครองของน้ำขิงตั้งแต่ขึ้นมอปลาย แต่อย่างนั้นเด็กใต้ปกครองคนนี้ก็ไม่ค่อยเชื่อฟังกันนักหรอก เถียงได้เถียง สู้ได้สู้ เหมือนใครบางคนไม่มีผิด ดีหน่อยที่รายนี้ยังพูดเพราะไม่ปีนเกลียว
“มีความลับกับน้องเหรอ” วุ่นวายไม่หยุดจริง ๆ เด็กคนนี้
“บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร เลิกคิดเองเออเองแล้วไปนอน”
“พี่เขี้ยวจะให้ขิงนอนตั้งแต่สามทุ่มเนี่ยนะ” เด็กติดนอนดึกไม่ถูกใจคำพูดผม
“อย่าลืมว่าพรุ่งนี้มีเรียนเช้า” น้ำขิงชอบดูหนังดูซีรีส์จนดึกดื่น บางทีดูยันเช้าก็ยังเคย แล้วผลที่ได้คือไปเรียนไม่ทัน หรือถ้าทันก็ไปแบบคนไร้วิญญาณ เชื่อไหมว่ามีครั้งหนึ่งเดินเหม่อจนตกท่อหน้าโรงเรียน วุ่นวายกันใหญ่โตเลยคราวนั้น
“ขิงจำได้น่า ขอดูสเตจเมนอีกนิดก็ขึ้นนอนแล้วค่ะ” ผมขี้เกียจจะพูดด้วยเลยทำแค่พยักหน้าแล้วเดินขึ้นชั้นสอง ระหว่างขึ้นบันไดรู้สึกว่าขาตัวเองหนักกว่าปกติ คงเพราะวันนี้ผมซ้อมมวยตั้งแต่เช้าแล้วไหนจะต้องแบกยัยเตี้ยวิ่งเกือบสิบรอบ
“หึ” ไม่รู้ทำไมพอนึกถึงยัยเตี้ยแล้วผมต้องหัวเราะ ภาพหัวฟูหน้าไม่ล้างวิ่งหอบเหมือนปอบลงยังติดตาผมอยู่เลย
ยอมรับว่าตอนที่จะถูกดึงกางเกงผมค่อนข้างตกใจมาก นึกไม่ถึงว่ายัยนั่นจะกล้าทำขนาดนี้ แต่ถามว่าโกรธหรือเคืองไหมก็ไม่หรอก มันออกไปทางอึ้งซะมากกว่า เพราะตั้งแต่ใส่กางเกงเองเป็นจนตอนนี้อายุย่างเข้ายี่สิบก็ไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนถลกกางเกงเลยสักครั้ง
“เป็นอะไร” ไอ้แนนทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นฉันเดินแปลกไป
“ปวดขา” ผลมาจากการวิ่งเมื่อวานที่ทำให้ฉันก้าวขาแทบไม่ออก ดีที่ฉันเป็นคนรักเรียนไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อสังขารมา เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะไอ้ยักษ์คนเดียวเลย พูดมาแล้วโมโห!
รู้ไหมว่าเมื่อคืนไอ้ยักษ์ทำอะไรกับฉันบ้าง มันวิ่งไล่จนฉันเกือบล้มหัวฟาดพื้น ตอนแรกคิดว่าพูดเล่นเรื่องเตะคืน แต่ที่ไหนได้มันทำจริง ฉันเตะขามันแค่ข้างเดียวแต่มันเตะฉันคืนถึงสองข้าง!
ไอ้เขี้ยวลาก ไอ้คนไม่มีมารยาท ไอ้คนไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ!
“ปวดมากรึเปล่า ไปให้หมอตรวจหน่อยดีไหม” สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนสนิททำให้ยิ้มออก อารมณ์บูดเมื่อสักครู่เริ่มคลายลง
“ไม่เป็นไร กินยาคลายกล้ามเนื้อเดี๋ยวก็หาย” เวลาออกกำลังกายหนักก็มักเป็นแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ที่จริงไม่จำเป็นต้องกินยาก็สามารถหายได้แต่อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย ฉะนั้นช่วงนี้ฉันคงต้องงดออกกำลังกายจนกว่าจะหายดี ไม่อย่างนั้นถ้าฝืนออกทั้งที่ยังเจ็บจะทำให้เป็นหนักกว่าเดิม
“เออหลิว แกเห็นยังว่าเมนเราประกาศทัวร์ไทยด้วยนะเว้ย”
“จริงเหรอ!” ฉันถามเพื่อนอย่างตื่นเต้น ไม่บ่อยเลยที่ที่รักฉันจะมาไทย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทั้งที่ยอดขายกับแฟนด้อมมีล้นหลามแต่กลับไม่ค่อยมาจัดคอนเสิร์ต พูดแล้วน้อยใจอยากให้เมนมาช่วยปลอบ
“จริง เก็บเงินรอเลยปลายปีนี้”
“ถ้าปลายปีชนกันหลายวงแน่” อย่างที่รู้ว่าฉันมีเมนจนนับนิ้วแทบไม่ครบ แล้วฉันก็ไม่เคยพลาดถ้าพวกเขามาทัวร์ไทย แล้วการทัวร์ส่วนใหญ่ก็มักจะจัดไล่เลี่ยกัน ยิ่งถ้าใกล้สิ้นปียิ่งถี่เลย ติ่งแบบฉันต้องเริ่มเก็บออมตั้งแต่วันนี้แล้วสินะ
“ก็คงอย่างนั้น เราก็ไปเท่าที่เราไหวนั่นแหละ”
“ฉันว่าเราต้องทำบุญล่วงหน้า เผื่อว่าผลบุญจะช่วยให้เรากดบัตรทัน” นี่เป็นความอยากลำบากอีกอย่างหนึ่งของติ่ง มีเงินไม่พอยังต้องมีดวงด้วย ไม่ใช่ว่าอยากไปก็ไปได้เลยเพราะเราต้องผ่านสนามรบกดบัตรให้ทันก่อน
“ว่าไงเฮีย” กดรับสายพี่ชายแล้วส่งสัญญาณมือให้ไอ้แนนเดินเข้าห้องไปก่อน พึ่งแยกกันไม่ถึงยี่สิบนาทีโทรมาทำไมก็ไม่รู้
(เย็นนี้กลับเองนะ)
“จะไปไหน”
(เดต) ฉันกลอกตาเมื่อได้ยินคำตอบ พ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ตั้งใจให้คนทางนั้นได้ยินเสียง (ไม่ต้องมาถอนหายใจ ไม่อยากได้รึไงพี่สะใภ้)
“ถามตัวเองเถอะว่าเมื่อไหร่จะจริงจัง” เห็นออกเดตทุกเดือน แล้วแต่ละเดือนก็ไม่เคยจะซ้ำหน้า แล้วแบบนี้คิดว่าฉันจะได้ไหมไอ้พี่สะใภ้ที่ว่าน่ะ
(คนนี้ไงจริงจังและจริงใจ) แค่น้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเจ้าเล่ห์ ทำไมฉันต้องมีพี่ชายไม้เลื้อยแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ พ่อก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้สักหน่อยแล้วเฮียหลงได้นิสัยจากใครมา คุยไปทั่วมั่วไปหมด ไม่กลัวเวรกรรมตกมาถึงน้องเลยรึไง
“ถ้าจะให้กลับเองก็โอนเงินค่ารถมา”
(ถังแตกเหรอหลิวแค่ค่ารถยังจะเอา)
“ไม่รู้แหละ ถ้าไม่ยอมโอนหลิวฟ้องพ่อแน่ว่าเฮียทิ้งหลิวไปหาสาว” ฉันใช้ไม้ตายที่เฮียหลงจะไม่มีทางปฏิเสธได้
(เออ ๆ น้องหรือมิจฉาชีพกันแน่วะ) สายถูกตัด ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีแจ้งเตือนว่ามีคนโอนเงินเข้า ฉันยิ้มกริ่มพอใจจะได้เก็บไว้เป็นค่าบัตรคอนเสิร์ต
หลังเลิกเรียนฉันเลือกนั่งรอรถเมล์แทนการเรียกรถแท็กซี่เพื่อเซฟคอส (ประหยัดค่าใช้จ่าย) ถึงจะต้องรอนานแล้วต้องเบียดเสียดกับคนอื่น แต่ถ้ามันทำให้ฉันมีเงินไปคอนฯหลาย ๆ คอนฯได้ก็ถือว่าคุ้มค่า
“อย่าพึ่งตกนะรอให้กลับถึงบ้านก่อน” มองเมฆที่กำลังตั้งเค้าแล้วได้แต่พึมพำ ภาวนาอย่าให้ฝนเทลงมาไม่อย่างนั้นการจราจรที่ติดขัดจะยิ่งเป็นหนักกว่าเดิม
“เตี้ย” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครที่มาจอดฮาร์เล่ย์คันใหญ่อยู่ตรงหน้า “มานั่งตาบอดทำไมแถวนี้” ปากหมาแบบนี้มีคนเดียว
“จะไปไหนก็ไปไป่เหม็นขี้หน้า” ฉันปัดมือไล่อย่างรำคาญในขณะที่ไอ้ยักษ์กำลังถอดหมวกกันน็อก
“ให้ไปจริงดิ เมื่อกี้ขับผ่านเห็นรถเมล์สายที่เธอรอจอดเสียอยู่ข้างทาง” ถึงว่ารอตั้งนานไม่เห็นมาสักที “ลองเรียกเฮียเขี้ยวสิเผื่อฉันใจดีขับไปส่ง”
“ฝันไปเถอะ” แค่หน้ายังไม่อยากมองแล้วเรื่องอะไรต้องพูดเพราะเสนาะหู
“แล้วแต่” ไอ้ยักษ์ไหวไหล่ “ฝนใกล้ตกแบบนี้เรียกแท็กซี่ยากด้วยสิ เอาใจช่วยแล้วกันนะ” ว่าจบก็สวมหมวกแล้วตั้งท่าจะออกรถ
“เดี๋ยว” ฉันรีบลุกขึ้นไปขว้าง เหตุเพราะคิดคำนวณแล้วว่าอาจจะต้องรอเป็นชั่วโมง
“มีอะไร” คนถามเปิดกระจกแล้วเลิกคิ้วอย่างยียวน แววตาเป็นประกายเหมือนกำลังเจอเรื่องสนุก
“จะไปส่งจริง ๆ ใช่ไหม”
“อือ” ไอ้ยักษ์พยักหน้า “ถ้าจะไปก็รีบพูด จอดนานกว่านี้ไม่ได้เดี๋ยวโดนด่า” ฉันกดดันจนมือสองข้างกำแน่น เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อยากทำแต่ต้องฝืนใจทำไหม นั่นแหละตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นเลย
“เฮียเขี้ยว” ให้ตาย ขนหัวลุก!
“อะไรนะไม่ได้ยิน”
“เฮียเขี้ยว” ฉันกัดฟันพูดอีกครั้ง
“หา? อีกทีซิ เมื่อกี้มีรถสวนไม่ได้ยินอะไรเลย”
หลับตาแล้วสูดลมหายใจ พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะในลำคอของไอ้ยักษ์ ลืมตายิ้มหวานเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะเอียงคอด้วยท่าทางน่ารักแล้วพูดว่า…
“เฮียเขี้ยวขา ช่วยขับรถไปส่งหลิวที่บ้านหน่อยได้ไหมคะ?” ความเงียบเกิดขึ้นทันทีหลังพูดจบ ไอ้ยักษ์ทำหน้าอึ้งคงคาดไม่ถึงว่าฉันจะกล้าทำถึงขั้นนี้
“แฮ่ม! จะไปก็ขึ้นมา” หมวกกันน็อกอีกใบถูกยื่นส่งมาให้ ฉันรับไว้แล้วรีบปีนขึ้นด้านหลัง “บอกให้เรียกแค่ชื่อทำไมต้องพูดยาวขนาดนั้น”
“อะไรนะ” ฉันตะโกนถาม เมื่อกี้ฟังไม่ถนัดเพราะมัวแต่ใส่หมวกกันน็อก
“ไม่มีอะไร จะออกรถแล้วจับดี ๆ”