เขาดูชำนาญและแคล่วคล่องว่องไว จะหยิบจับอะไรก็ดูน่ามองไปเสียหมด แสดงว่าเขาต้องเข้าครัวทำอาหารบ่อยแน่ๆ พ่อแม่คนไหนมีลูกชายเก่งๆ ทำอาหารเป็นแบบนี้คงภูมิใจแย่
“เอ้าเสร็จละ มานั่งกินตรงนี้เถอะ”
เขาเอากับข้าวไปวางที่โต๊ะกลมเล็กๆ ที่มีที่นั่งเพียงสองที่ในห้องครัว แล้วเอาจานไปยื่นให้หญิงสาว
“หม้อข้าวสวยอยู่ตรงนั้น ไปตักเอาเอง ข้าวเหนียวก็มีนะถ้าคุณอยากกิน แต่ว่ามันยังไม่ได้อุ่น ยังไม่ถึงเวลาอุ่น”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอหิวจนแสบไส้ จึงรับจานเปล่ามาไว้ในมืออย่างไม่แง่งอนแล้วเดินไปตักข้าวสวยมาเต็มจาน
มินตรามองไข่เจียวชะอมเหมือนเป็นอาหารชั้นเลิศที่น่ากินมากที่สุดในยามนี้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักกินข้าวกับไข่เจียวแบบลืมอายเลยทีเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เธอสามารถกินข้าวจนหมดจาน แล้วยังรู้สึกอยากจะกินต่ออีก แต่ด้วยความเกรงใจเธอจึงรวบช้อนไว้กลางจานแล้วรินน้ำใส่แก้วมาดื่ม
“อิ่มแล้วเหรอ”
หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มครั้งแรกตั้งแต่เริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าว ก่อนจะตอบคำถามเขาเบาๆ
“อิ่มแล้วค่ะ”
แดนดินยิ้ม ก่อนจะหยิบจานในมือเธอ แล้วเดินไปเติมข้าวให้หนึ่งทัพพี
“กินข้าวนี่ต่อให้หมด ไข่ยังเหลืออยู่เลย กินให้หมดด้วยแล้วไปล้างจาน กินเสร็จแล้วผมจะพาไปพบยาย”
“นี่คือคำสั่งเหรอคะ”
“แล้วแต่คุณจะคิด”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
มินตราจึงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจนหมดเกลี้ยงทุกอย่าง ทั้งข้าวทั้งกับ และรู้สึกอิ่มแปล้จนนึกอยากจะนอนกางพุงตรงโต๊ะกับข้าวนี่เลย เพราะหนังตาก็เริ่มหย่อนแล้ว
มันรู้สึกเพลียๆ คงเพราะเพลียจากการนั่งรถมาไกลนั่นแหละ แถมยังมาตกน้ำตกท่าอีก นึกแล้วก็คิดถึงกระเป๋าเดินทางที่จมน้ำลอยหายไป
หลังจากที่มินตราล้างถ้วยล้างจานเสร็จ แดนดินก็พาหญิงสาวมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระท่อมน้อย
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะประตูก่อน เพราะคุณยายเคยบอกว่า ถ้าเป็นหลานชายของแก ไม่ต้องเคาะ เพราะเสียงเคาะประตูจะทำให้แกตกอกตกใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเสียงเคาะประตู คุณยายเองก็จะรู้ว่าเป็นคนอื่นที่กำลังจะเข้ามาหา
“เอ้า ยายตื่นนานแล้วเหรอครับ” แดนดินแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคุณยายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
ทั้งหมู่บ้านดอนยาง แดนดินรู้ว่าในรุ่นของคุณยาย มีน้อยคนนักแทบจะอ่านหนังสือออก และมีคุณยายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียนจบถึงชั้นป.6 ท่านเลยอ่านออกเขียนได้ และหนังสือที่ท่านชอบอ่าน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังสือนิยายรัก และจะต้องเป็นนิยายรักข้ามภพ ข้ามเวลาเท่านั้นที่คุณยายเลือกอ่าน โดยมีแดนดินนี่แหละที่เป็นคนไปเลือกซื้อหามาให้คุณยายอ่าน
“ยายตื่นนานแล้ว และตื่นทันได้เห็นดินพาสาวไปเด็ดผักในสวนของยายด้วย”
สองยายหลานคุยกันด้วยภาษาถิ่น ซึ่งทำให้คนที่ยังยืนรออยู่ที่หน้าประตู ฟังไม่ค่อยออกนัก
“เหรอครับ คือสาวที่ยายว่า เขาตั้งใจมาหายายครับ ผมเลยบอกว่ารอยายตื่นก่อนค่อยให้เธอเข้าพบ”
“พาเขามาพบยายสิ”
แดนดินหันไปมองหน้าแขกสาวแล้วพยักหน้าให้เธอเข้ามาหาคุณยายของเขาได้
มินตราค่อยก้าวเดินผ่านหน้าแดนดินไป ตาจ้องมองหญิงชราผมขาวดัดสั้นที่ยังคงเค้าความสวยด้วยแววตากริ่งเกรง แต่ก็แฝงไปด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณยาย” หญิงสาวยกมือไหว้ แล้วยิ้มให้หญิงชรา
คุณยายเพ่งพิจมองหน้าหญิงสาวแปลกหน้ารุ่นหลานด้วยแววตาแปลกใจ ระคนสงสัยว่าสาวน้อยคนนี้มาหานางด้วยธุระอันใด
“สวัสดีจ้ะ”
คุณยายกล่าวทักทาย พร้อมกับถอดแว่นตาออก แล้วพับเก็บหนังสือในมือ เอาไปวางไว้บนหัวนอน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยนั่งในท่าที่สบาย แล้วมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของแขกสาวอย่างรอคอยให้เธอพูดธุระของเธอออกมา
“หนูชื่อมินตราค่ะคุณยาย เรียกหนูสั้นๆ ว่ามิ้นก็ได้ค่ะ วันนี้หนูมาหาคุณยายเพราะกรรมเก่า มีหมอดูท่านหนึ่งทำนายว่าหนูจะหลุดพ้นบ่วงกรรมที่ผ่านมาได้ เมื่อหนูได้มาแก้กรรมกับคุณยายค่ะ” จากนั้นมินตราก็เริ่มเล่าทุกเรื่องที่เธอเจอมาอย่างละเอียดอีกครั้งเหมือนที่ได้เล่าให้แดนดินฟังจนจบ ก็ก้มหน้าเศร้า
คุณยายคำถอนหายใจยาวออกมาด้วยความเห็นใจ นางเองก็เชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม แต่การที่ได้ฟังเรื่องของสาวน้อยคนนี้มันก็เหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเชื่อได้ด้วยสิ
หน้าตาอ่อนเยาว์แบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงหกเจ็ดครั้ง แถมสามีทั้งเจ็ดคนที่ผ่านมาของเธอเกิดเสียชีวิตทั้งหมดอีกต่างหาก มันเหลือเชื่อจริงๆ ไม่รู้ว่าสาวน้อยแปลกหน้าคนนี้สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อหาทางมาชิดใกล้หลานชายของนางหรือเปล่า
แล้วถ้าหากยอมให้มินตราเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย คู่หมั้นของแดนดินก็อาจจะไม่สบายใจก็ได้
แต่การยอมให้สาวน้อยคนนี้อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย เพื่อให้เธอได้ทำการแก้กรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ หากว่าเรื่องที่มินตราเล่ามาเป็นความจริง
คุณยายนั่งถอนหายใจมองหน้ามินตราแล้วก็หันไปมองหน้าหลานชายของตนเอง เพื่อดูท่าทีของแดนดินว่าจะเห็นด้วยกับเรื่องที่จะให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันไหม