ผมคือหลานชายของยายคำ1
เอี๊ยด!
กึก
มินตราหัวแทบคะมำ เมื่อรถสองแถวสีเหลืองที่เธอนั่งมา ขับมาจอดกึกอยู่เกือบท้ายซอยของหมู่บ้านในคุ้มเวียงผาง ผู้โดยสารบนรถเหลือเธอเพียงคนเดียว เธอเดินทางมาที่นี่เพื่อมาพบกับใครคนหนึ่งตามคำทำนาย
ปกติเธอไม่คิดจะให้ใครมาดูดวงให้กับเธอเลย แต่หมอดูท่านหนึ่งที่เดินสวนกับเธอ เข้ามาทักเธอและทำนายทายทักราวกับตาเห็น
ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ เมื่อหมอดูท่านนั้นทักทายกับเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจรัง แฝงไปด้วยพลังเร้นลับบางอย่างทางแววตา ทำให้เธอต้องหยุด แล้วหันไปมองหน้าหญิงชราท่านนั้น
“เมื่อคืนฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม”
“คุณยายรู้ได้ยังไงคะ? !”
“ก็ขอบตาหนูคล้ำมาก แล้วดวงหน้าก็เศร้าหมอง เหมือนคนที่แบกความทุกข์ไว้ในใจ”
“คุณยาย!”
“หนูฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนสีแดงมาหาบ่อยๆ ใช่ไหม”
“คุณยายรู้ได้ยังไงคะ? !!!”
“หากอยากจะหลุดจากฝันร้าย ให้ทำตามที่ยายบอกอย่างเร่งด่วน หนูเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะแก้กรรมกับผู้หญิงคนนั้นที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนู เพราะผู้หญิงคนนั้นเหลือเวลาอยู่ในโลกใบนี้อีกไม่นานนัก จงเปิดใจแล้วฟังที่ยายกำลังจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ แล้วก็ทำตาม”
หญิงสาวนึกถึงคำของแม่หมอแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนจะเดินลงมาจากรถแล้วเปิดซิบกระเป๋าหยิบเอาแบงค์ร้อยมาจ่ายค่าโดยสารให้คนขับรถ พร้อมกับถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ว่าเธอมาถูกที่แล้วใช่ไหม
“พี่พาหนูมาส่งถูกบ้านแล้วใช่ไหมคะ”
“ถูกบ้านแล้วครับน้อง ที่นี่แหละคือคุ้มเวียงผาง และบ้านหลังนั้นก็เป็นบ้านหลังเดียวที่มีต้นหวายพุ่มใหญ่ๆ อยู่หน้าบ้าน เป็นต้นหวายที่มีอายุยาวนานมากเลยนะน้อง พี่เห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้จนพี่มีลูกสองคนแล้ว ต้นหวายต้นนี้ก็ยังอยู่”
มินตรามองตามสายตาของโชเฟอร์หนุ่ม สังเกตดูต้นหวายยักษ์ต้นนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเพิ่งเคยเห็นต้นหวายของจริงเป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนนี้มันกำลังออกผลเต็มต้นดกมาก และต้นหวายก็พุ่มใหญ่มาก และสูงมากจริงๆ มันบังบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังเสียมิด
ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าของบ้านอยู่หรือเปล่า
“โอเคจ้ะพี่ เดี๋ยวหนูเข้าไปหาคุณยายเจ้าของบ้านก่อนจ้ะ”
แล้วรถสองแถวสีเหลืองก็เคลื่อนตัวออกไป มินตราจึงมองไปทางต้นหวาย มองหาทางเดินเข้าบ้าน ก็เห็นเพียงทางเดินลาดชันเป็นตลิ่งลงไป มีสะพานข้ามลำห้วยเล็กๆ ที่ทำด้วยไม้ไผ่สี่ห้าลำที่วางพาดจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ดูแล้วน่าหวาดเสียว กลัวว่าจะเดินข้ามผ่านไปไม่ได้ เพราะกลัวจะพลัดตกลงลำห้วยไปเสียก่อน
“ที่จับก็ไม่มี แล้วจะเดินข้ามไปได้ไหมเนี่ย”
คนตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดอกแขนยาวพับศอกกับกางเกงยีนสีซีด ค่อยๆ หยั่งเท้าข้างหนึ่งลงไปเหยียบสะพานไม้ไผ่ มันก็ไหวโตงเตงไปมาเมื่อน้ำหนักของเธอกดลงไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
‘โอย แล้วถ้าก้าวลงไปทั้งตัวมันจะไม่หักเหรอเนี่ย’
หญิงสาวมองซ้ายมองขวา หวังจะหาคนช่วยแต่ก็ไม่เจอ บ้านหลังอื่นๆ ก็อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร แถมบริเวณรอบๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่จะเป็นตัวช่วยเธอได้เลย
มินตรายืนนิ่งมองสะพานไม้ไผ่อยู่นานสองนานจนได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกล แล้วแถวนี้ก็เงียบเชียบวังเวงพิกล การเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ในบ้าน น่าจะปลอดภัยกว่ามายืนเป็นจุดเด่น แล้วให้ฝนเทลงมาใส่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
เธอก็คาดว่าฝนมันจะตกลงเร็วๆ นี้แหละ เพราะสายลมเย็นเริ่มพัดโชยมาแล้ว และเห็นฟ้าแลบแปลบๆ อยู่ไกลๆ แม้ว่าบนศีรษะของเธอจะไม่มีเค้าฝนเลยก็ตาม จะมีก็แค่ก้อนเมฆสีขาวที่กำลังเคลื่อนคล้อยลอยเข้ามาช้าๆ เท่านั้น แดดก็ยังเห็นอยู่รำไร
“เอาวะ”
แค่ไม่กี่เมตรเอง
เท้าเล็กในรองเท้าผ้าใบสีขาวแต่ตอนนี้กลายเป็นสีหม่นไปแล้ว เนื่องจากหนทางที่ผ่านมามีแต่ฝุ่นควัน เพราะถนนหลายสายยังไม่ได้ลาดยางมะตอย
เธอค่อยๆ ก้าวเท้าลงไปยังสะพานไม้ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก แต่เมื่อคิดว่ามันน่าจะเป็นสะพานที่คนใช้เดินข้ามผ่านไปมาทุกวัน มันก็น่าจะรองรับน้ำหนักของเธอที่ไม่ได้หนักมากได้อยู่หรอก
เพียงหนึ่งก้าวที่เหยียบลงไป กิ่งไผ่ก็ไหวยวบลง เมื่อเท้าอีกข้างก้าวลงไปต่อ สะพานไม้ยิ่งยุบลงไปใหญ่แล้วไหวโตงเตงไปมาพร้อมกับร่างเล็กที่ยังทรงตัวไม่ได้
“อร้าย ฮือ พ่อจ๋าแม่จ๋าให้มิ้นก้าวข้ามผ่านไปให้ได้นะ”
อี๊ดแอดๆ ...
“ว้าย!”
ตุ้ม!
เจ้าของร่างเล็กตกลงไปในน้ำจนได้ พร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเธอก็ตกลงไปด้วย มันจมไปทั้งใบ เห็นแต่ที่จับผลุบๆ โผล่ลอยไปตามลำน้ำที่เริ่มไหลเชี่ยว แล้วลอยลับตาไปในที่สุด
“กระเป๋าฉัน ฮือ... กระเป๋าลอยหายไปแล้ว แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เสื้อผ้า ของกิน ของใช้อยู่ในนั้นหมดเลย ตอนนี้ก็เหลือแค่กระเป๋าสะพายใบนี้ที่เปียกไปหมด ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ที่อยู่ข้างในจะยังใช้ได้หรือเปล่า ฮือๆ”