ปณิตาปรายตามองคนมาใหม่ทรุดกายนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คุณย่าสวัสดีครับ” เมธวินกระพุ่มมือไหว้ณฤดีอย่างนอบน้อม ประโยคที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ทำให้ภัสสรเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้
“ใครจะแต่งงานเหรอคะคุณแม่”
“ก็ตาปุณน่ะสิ” คนสูงวัยกว่าตอบพลางยกมือขึ้นลูกศีรษะหลานชายอย่างรักใคร่คนที่ได้ยินถึงกับต้องถามย้ำทันทีด้วยความตกใจ
“พี่ปุณจะแต่งงานเหรอครับ”
“นั่นน่ะสิ ทำไมปุบปับแบบนี้ล่ะเพิ่งจะกลับมาถึงวันนี้เองไม่ใช่เหรอ” ภัสสรถามขึ้นอีกคน
“ที่ตาปุณกลับมาก็เพื่อจะบอกข่าวดีเรื่องนี้แหละจ่ะ” ปณิตาเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น “คุณแม่บอกว่าถ้าปุณแต่งงานมีเหลนให้จะยกไร่อมรภิรมย์เป็นชื่อตาปุณ”
“จริงเหรอคะคุณแม่ แล้วตาเมธล่ะคะ” ภัสสรประท้วงขึ้น “ถึงตาเมธจะไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่คุณเกื้อก็รับตาเมธมาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เด็ก ช่วยดูแลกิจการในไร่ทุกอย่าง คุณแม่จะไม่ให้อะไรตาเมธเลยเหรอคะ”
ประโยคนั้นทำให้ปุณณภัทรส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่คนที่ถูกพูดถึงกลับรีบแก้ต่างขึ้นมาทันที
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยนะครับคุณแม่ แค่คุณย่าเมตตาให้ผมช่วยดูแลงานที่บริษัทมันก็พอแล้วล่ะครับ”
“แต่แกก็ยังถือว่าเป็นลูกชายคุณเกื้อนะตาเมธ” ภัสสรสวนกลับในทันทีทำให้ณฤดีต้องยกมือปรามไว้
“เอาเถอะ เอาเถอะ ฉันเข้าใจแกนะยัยสร ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนใจร้ายใจดำขนาดนั้น เห็นแก่ที่ตามเมธทำงานกับฉันมานาน ฉันก็จะยกรีสอร์ตให้แต่ก็ต้องมีข้อแม้เหมือนกับตาปุณนะ”
“ข้อแม้อะไรคะคุณแม่”
“ก็รีบแต่งงานมีเหลนให้ฉันไว ๆ ไง” คนสูงวัยยิ้มตอบอย่างพอใจแต่ปณิตากลับไม่เห็นด้วย
“ไม่ได้นะคะคุณแม่ ทั้งรีสอร์ตทั้งไร่หรือว่าบริษัทอื่นในเครืออมรภิรมย์ต้องเป็นของตาปุณ ทายาทโดยชอบธรรมสิคะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่ฉันก็ต้องเห็นแก่ตาเมธด้วย และฉันก็ยังไม่ได้ยกให้ทุกคนตอนนี้หรอกนะ ใครสร้างครอบครัวที่มั่นคงให้ฉันเห็นก่อน ฉันถึงจะมอบให้คนนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลานแท้ ๆ หรือว่าหลานบุญธรรมก็ตาม”
“หมายความว่าถ้าตาเมธแต่งงานมีเหลนให้คุณแม่ คุณแม่จะยกรีสอร์ตให้ตาเมธเหรอคะ” ภัสสรถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ถึงมูลค่ามันจะน้อยกว่าไร่และบริษัทอื่นในเครืออมรภิรมย์ แต่หากเทียบกับสถานะของตาเมธมันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“อืม...” คนสูงวัยตอบแต่เพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันไปเรียกพยาบาลพิเศษที่จ้างมาช่วยดูแล “เนตรจ๊ะ ฉันอยากพักแล้วล่ะจ่ะ”
“ค่ะคุณหญิง” พยาบาลวัยกลางคนเข้ามาห่มผ้าให้ ทุกคนจึงพากันกลับออกไป
“ได้ยินว่าพี่จะแต่งงาน ผมยินดีด้วยนะครับ” เมธวินเอ่ยขึ้นเมื่อออกมาจากห้องใหญ่ลงมายังชั้นหนึ่งของคฤหาสน์อมรภิรมย์
“ขอบใจ” ปุณณภัทรตอบแต่เพียงสั้น ๆ ก่อนจะกระแทกไหล่กว้างออกไปขึ้นรถของตัวเอง เมธวินได้แต่มองตามไปด้วยความเข้าใจดีว่าพี่ชายคนนี้ไม่เคยชอบขี้หน้าเขาเลยสักครั้งแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ในสายตาของปุณณภัทรเขาก็ยังเป็นแค่เศษฝุ่นไม่เคยเปลี่ยน
“คุณแม่ไม่น่าไปบอกคุณย่าแบบนั้นเลยนะครับ” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ปุณณภัทรก็ทรุดกายนั่งลงบนโซฟาอย่างคนคิดหนัก เพราะเผลอไปรับปากณฤดีว่าจะพาแฟนไปแนะนำตัวทั้งที่เขายังไม่เคยจะปรายตามองใครเลยด้วยซ้ำ
“นี่เรายังไม่มีแฟนจริง ๆ เหรอตาปุณ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมไม่อยากเอาชีวิตอิสระไปผูกมัดกับผู้หญิงคนเดียวแน่ ๆ อย่าว่าแต่จะแต่งงานเลย แค่มีแฟนผมก็ไม่เอาหรอก” ปุณณภัทรหลับตาพริ้มพลางเอนศีรษะลงบนพนักโซฟา ได้ยินดังนั้นปณิตาจึงรีบทรุดกายนั่งลงเคียงข้างทันทีด้วยความร้อนใจ
“ตายแล้ว แม่ก็คิดว่าเรามีแฟนแล้วเสียอีกถึงไปรับปากคุณย่าไว้แบบนั้น ทีนี้จะทำยังไงล่ะ”
“ไม่เห็นจะยากนี่ครับ แค่จ้างผู้หญิงมาแต่งงานตบตาคุณย่าสักคน แค่นี้ก็จบ” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระในขณะที่ยังหลับตาพริ้มดังเดิม
“แล้วจะไปหาผู้หญิงจากที่ไหนกัน”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”
“ไม่ได้ ไม่ได้” ปณิตาสวนกลับในทันทีทำให้คนที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสบายใจต้องลุกนั่งมองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะครับ”
“ขืนให้เราหามาเอง เราก็คงจะไปคว้าผู้หญิงหน้าเงินมา ถ้าแต่งงานไปแล้วไม่ยอมเลิก จะอยู่สูบเลือดสูบเนื้อเราจะทำยังไงล่ะ” อีกฝ่ายให้เหตุผล “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่ดีกว่า เดี๋ยวแม่จะหาผู้หญิงมาแต่งงานกับเราเอง”
ปณิตายิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่น่าจะมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอได้โดยที่ไม่ต้องคอยระแวงว่าผู้หญิงคนนั้นจะเข้ามากอบโกยสมบัติของตระกูล
อาการของมาโนชยังคงทรุดหนัก ถึงแผนที่จะส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลใหญ่ต้องถูกยกเลิกไป แต่นวลจันทร์ก็ยังทำใจให้สามีจากไปไม่ได้ จึงขอนอนโรงพยาบาลต่อเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจประคองการรักษาต่อไปจนถึงวินาทีสุดท้ายโดยที่เธอกับญารินสลับกันเฝ้าไข้ไม่ห่าง
“แม่จะกินอะไรไหมคะ เดี๋ยวขิมจะซื้อมาฝาก” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นแม่ในขณะที่กำลังเก็บเสื้อผ้าบางส่วนกลับไปซักที่บ้านแล้วค่อยกลับมาอีกทีตอนค่ำเพื่อให้นวลจันทร์กลับไปพัก
“แม่กินอะไรไม่ลงหรอก ขิมอยากกินอะไรก็ซื้อมาได้เลย”
“ค่ะแม่” ญารินบีบมือมารดาไว้แน่น เธอเข้าใจความรู้สึกของแม่ที่กำลังจะเสียคู่ชีวิตไปตลอดกาลดี ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะให้กำลังใจซึ่งกันและกันและรอคอยวันที่บิดาจะลาจากโลกนี้ไป
หญิงสาวเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วออกไปขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางกลับบ้านไปอีกอำเภอ ซึ่งกว่าจะถึงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงตอนบ่าย ญารินจึงรีบอาบน้ำอาบท่า ซักเสื้อผ้าแล้วเตรียมกับข้าวเพื่อนำไปให้นวลจันทร์
“อานวล อานวล อยู่หรือเปล่า อานวล!” เสียงเรียกนวลจันทร์ดังขึ้นหน้าบ้าน ทำให้หญิงสาวรีบตากผ้าตัวสุดท้ายแล้วออกไปเปิดประตูรั้วไม้เพื่อเอ่ยทักผู้มาเยือน
“เฮีย...” ใบหน้าหวานซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็น เทิดศักดิ์หรือเฮียเทิด เจ้าหนี้ที่นวลจันทร์เคยไปกู้เงินมาหมุนเวียนทำนาและเป็นค่ารถค่ายาในการรักษามาโนชมานานแรมปี
“อ้าว! หนูขิม ได้ข่าวว่าไปทำงานที่กรุงเทพฯ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”
“เพิ่งมาถึงไม่กี้วันเองจ่ะ” ญารินก้มหน้าตอบ มือเรียวยังจับประตูรั้วไว้แน่นด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาเพราะเธอรู้ดีว่าเทิดศักดิ์เป็นเ*******ูที่ชอบเอ่ยปากขอเธอเป็นเมียตั้งแต่อายุสิบแปด
“แล้วแม่เราล่ะไปไหน”
“แม่...ดูพ่ออยู่ในบ้านจ่ะ พ่อไม่สบาย” หญิงสาวเลี่ยงที่จะตอบความจริงออกไป หากเทิดศักดิ์รู้ว่าเธออยู่บ้านเพียงลำพังคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“อามาโนชอาการทรุดหนักอีกแล้วเหรอ เห็นว่าไปโรงพยาบาลกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“เพิ่งมาถึงจ่ะ”
“ดีเลย งั้นเฮียขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย”
“ไม่ได้นะจ๊ะ” ญารินรีบปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเปิดประตูรั้วเข้ามา “ตอนนี้พ่อกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมอยู่จ่ะ เฮียคงไม่ชอบกลิ่นเหม็นหรอกใช่ไหมจ๊ะ”
เป็นอีกครั้งที่เธอต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด
“งั้นหนูก็เข้าไปบอกแม่หน่อยละกันว่าเฮียมาเก็บเงินที่กู้ยืมไป อานวลแกผัดไปผัดมาจนดอกมันพุ่งติดเพดานแล้วนา” เทิดศักดิ์อธิบายแต่สายตายังจับจ้องไปยังเรือนร่างงามของคนตรงหน้า ถึงเธอจะสวมเสื้อยืดตัวใหญ่โคร่งแต่ก็ไม่อาจจะอำพรางเนินเนื้อคู่งามที่ใหญ่ล้นนั้นได้เลยสักนิด
“หนูขอเวลาอีกนิดเถอะจ่ะ ตอนนี้พ่อก็กำลังทรุดหนัก...”
“ไม่ได้ ไม่ได้! อานวลแกก็ผัดมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้เฮียยอมให้ผลัดอีกไม่ได้แล้วนา” เทิดศักดิ์โบกไม้โบกมือปฏิเสธทันทีทั้งที่ญารินยังพูดไม่จบ “เว้นเสียแต่ว่าเราจะยอมเป็นเมียเฮีย เฮียลดให้ทั้งต้นทั้งดอกเลยเอาไหมล่ะ”
“แหมเฮีย...ของแบบนี้มันตัดสินใจกันปุบปับได้ที่ไหนล่ะจ๊ะ” ญารินเอ่ยเสียงลอดไรฟัน เธอจำเป็นต้องดัดเสียงให้ต่ำลงเพื่อจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าหนูขิมเริ่มสนใจข้อเสนอของเฮียแล้วล่ะสิ คิดดูดี ๆ นา มาเป็นเมียเฮีย ไม่ต้องทำอะไรเลย เฮียจะให้เราเฝ้าเก๊ะ คอยนับเงินอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำงานให้มันเหนื่อย เฮียสัญญาจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี”
“จ่ะเฮีย ขอเวลาฉันคิดอีกนิดเถอะนะจ๊ะ ถ้าฉันไม่มีจริง ๆ ฉันคงต้องไปกับเฮีย” ญารินตอบเสียงหวานเพียงเพื่ออยากจะยืดเวลาหาเงินมาจ่าย
“งั้นเฮียให้เวลาจนถึงสิ้นเดือน ถ้ายังไม่มีจ่าย หนูขิมต้องไปกับเฮียนะจ๊ะ”
หญิงสาวได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อน ๆ เป็นคำตอบก่อนที่เจ้าหนี้หัวงูจะใจอ่อนยอมกลับไป มือเรียวจึงรีบปิดประตูรั้วแล้วทรุดกายลงนั่งอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
“บ้าจริง เงินตั้งสี่ห้าแสนใครจะหามาได้ทัน”
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงวิธีการหาเงินอยู่นั้น เสียงมือถือก็ร้องดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อนวลจันทร์โชว์หราอยู่บนหน้าจอเธอก็รีบกดรับสายในทันที
“มีอะไรเหรอคะแม่”
(ขิม...พ่อไปแล้วลูก ฮือ...พ่อจากเราไปแล้ว) เสียงนวลจันทร์ที่ดังมาจากปลายสายเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจ ญารินถึงกับช็อกไปชั่วขณะก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากออกมา
“พ่อ...ไม่จริง ฮือ...” หญิงสาวสะอื้นหนักรีบเดินทางกลับไปโรงพยาบาล เมื่อเห็นหน้าลูกสาว นวลจันทร์ก็สวมกอดญารินไว้แล้วปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“พ่อไม่อยู่แล้วขิม พ่อไม่อยู่แล้ว”
ทั้งสองกอดคอร้องไห้ด้วยกันเพียงไม่นานหมอก็นำร่างไร้วิญญาณของมาโนชออกมา ญารินทำได้แค่ก้มลงกราบแทบเท้าเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย บิดาคงไม่อยากให้เธอเห็นภาพสุดท้ายจึงได้เลือกเวลาจากไปในตอนที่เธอไม่อยู่
“พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ หนูสัญญาว่าหนูจะดูแลแม่แทนพ่อเอง พ่อไม่ต้องทนเจ็บอีกต่อไปแล้วนะจ๊ะ”
เจ้าของดวงตาแดงก่ำบอกมาโนชผ่านผ้าสีขาวที่คลุมร่างไว้ก่อนจะนำร่างกลับไปประกอบพิธีที่วัด
งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายมีเพียงเพื่อนบ้านและญาติไม่กี่คนมาร่วมงาน หลังจากเสร็จพิธีสามวัน ญารินจึงนำอัฐิของมาโนชกลับไปที่บ้าน เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย นวลจันทร์ก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้งจนหญิงสาวต้องปลอบใจอยู่นานจนอีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
“พ่อไปสบายแล้วนะแม่ แม่อย่าร้องไห้สิจ๊ะ ถ้าเป็นแบบนี้วิญญาณของพ่อจะสงบได้ไงล่ะคะ”
“แม่จะพยายามนะขิม แม่จะพยายาม...” นวลจันทร์พยายามกัดกลืนก้อนสะอื้นลงคอไป แต่เธอก็ต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเทิดศักดิ์ เจ้าหนี้ที่เคยไปกู้เงินไว้
“เฮียมาตามสัญญาแล้วนะหนูขิม”
“สัญญาอะไรกันขิม” เธอหันไปถามลูกสาวในทันที เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานศพ ญารินจึงไม่ได้บอกเรื่องที่คุยกับเทิดศักดิ์ให้เธอทราบ
“อานวลจำไม่ได้แล้วเหรอว่ากู้เงินเฮียไปเท่าไหร่ ตอนนี้ทั้งดอกทั้งต้นรวมกันเกือบจะห้าแสนแล้วนา”
“แต่พี่โนชเพิ่งเสียไปเองนะจ๊ะ ขอเวลาฉันอีกหน่อยไม่ได้เหรอ” นวลจันทร์พยายามร้องขอ
“เรื่องนั้นฉันก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะอานวล แต่เรื่องหนี้มันก็อีกเรื่อง วันก่อนหนูขิมสัญญากับฉันว่าจะหาเงินมาคืนภายในวันนี้ ถ้าไม่มีให้ หนูขิมก็ต้องไปเป็นเมียฉัน”
“จริงเหรอขิม หนูบอกเฮียแบบนั้นจริง ๆ เหรอลูก” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกสาวอีกครั้ง ญารินจึงก้มหน้าสารภาพความจริงออกไป
“ค่ะแม่ ตอนนั้นหนูไม่มีทางเลือก...”
“ไป ๆ ถ้าไม่มีเงินก็ไปกับฉัน อย่ามัวแต่พูดพร่ำทำเพลง” เทิดศักดิ์รีบตัดบทเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะเปลี่ยนใจก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องที่ตามติดมา “พาตัวหนูขิมไปขึ้นรถ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ บ้านเมืองมีขื่อมีแปอยู่ ๆ มาฉุดกระชากกันกลางวันแสก ๆ แบบนี้ได้ยังไง” เสียงที่แสนคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างบางระหงของปณิตาที่ก้าวลงมาจากรถพร้อมกับร่มกันแดดสีสันสดใสเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
“นี่มันคุณหญิงปณิตา อมรภิรมย์นี่นา” เทิดศักดิ์หันไปทักทายคนมาใหม่ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณหญิง ผมว่าคุณหญิงอย่ามายุ่งดีกว่า”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงก็นวลจันทร์เป็นเพื่อนฉัน” อีกฝ่ายตอบด้วยสายตาวาวโรจน์จนลูกน้องเทิดศักดิ์รีบปล่อยตัวญารินในทันที
“เป็นเพื่อนอานวลงั้นเหรอ งั้นก็จ่ายหนี้แทนอานวลมาสิ” เทิดศักดิ์ยิ้มเย้ยด้วยความมั่นใจว่าปณิตาไม่กล้าออกเงินให้มากขนาดนั้นแน่
“เท่าไหร่ล่ะ”
“อานวลกู้เงินฉันไปตั้งหลายปี ดอกไม่เคยส่ง ตอนนี้ทั้งต้นทั้งดอกก็ห้าแสนสอง”
“เงินเท่านี้ทำเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โตไปได้” ปณิตาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยิบเช็กในกระเป๋าราคาแพงแล้วจรดปากกาเขียนตัวเลขลงไปในนั้นแล้วส่งไปให้อีกฝ่าย "อ่ะนี่ ห้าแสนสองพอดีเป้ะ"
“นิด...นั่นมันตั้งครึ่งล้านเลยนะ” นวลจันทร์เอ่ยอย่างเกรง ๆ เมื่อเหลือบไปเห็นตัวเล็กหกหลักบนเช็กใบนั้น
“เงินแค่นี้เองหรือว่าเธอจะยอมยกลูกสาวให้ตาแก่ตัณหากลับคนนี้ล่ะ”
“อ้าวคุณหญิง พูดอย่างนี้เดี๋ยวผมก็แจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทหรอก” คนถูกพูดถึงร้อนตัวในทันที
“ถ้าแจ้งความก็ไม่ต้องเอาเงิน” ปณิตาถลึงตาใส่อย่างไม่นึกเกรง เทิดศักดิ์จึงละสายตาก้มลงมองเช็กในมืออีกครั้งอย่างชั่งใจ ถึงจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ญารินกลับไปเป็นเมีย แต่การได้เงินที่มากกว่าตอนนวลจันทร์กู้ยืมไปถึงสองเท่าแค่นี้มันก็น่าพอใจแล้ว
“ฉันรับเงินนี้ไว้ก็ได้”
“แล้วโฉนดล่ะเฮีย” ญารินท้วงขึ้นเมื่อเทิดศักดิ์กำลังเดินจากไป อีกฝ่ายจึงหันไปหยิบโฉนดที่ดินจากกระเป๋าส่งคืนให้ก่อนจะหมุนตัวขึ้นรถไปด้วยความพอใจ ถึงตอนนั้นทั้งญารินทั้งนวลจันทร์จึงหันมาขอบคุณปณิตากันเป็นการใหญ่
“ขอบคุณนิดมากเลยนะ วันก่อนที่ให้ไว้มันก็มากพอแล้ว วันนี้ยังต้องมาเสียเงินให้ฉันอีก”
“ครั้งก่อนที่ให้ไว้น่ะถือเป็นสินน้ำใจที่หนูขิมช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้จะให้ฟรี ๆ หรอกนะ ฉันต้องการหนูขิมไปทำงานด้วย” ปณิตาตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณป้า เสร็จจากเรื่องพ่อหนูก็จะไปทำงานที่บริษัทใหญ่อยู่แล้วค่ะ”
“ฉันไม่ได้ให้หนูไปทำงานที่บริษัท แต่ต้องการให้หนูมาทำงานให้ฉันเป็นการส่วนตัวต่างหาก”
คำตอบนั้นทำให้ญารินและนวลจันทร์ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัย
“งานอะไรเหรอนิด”
“เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะนวล ฉันไม่ได้พาหนูขิมไปฆ่าแกง หรือทำงานผิดกฎหมายแน่นอนจ่ะ วันนี้สะดวกหรือเปล่าล่ะออกไปคุยรายละเอียดกับฉันหน่อย ฉันนัดลูกชายฉันไว้เหมือนกัน” ปณิตาสรุปรวบรัดตัดบทเสียเสร็จสรรพ ถึงจะยังงุนงงอยู่แต่ญารินก็ต้องขึ้นรถไปด้วยเพราะเห็นแก่บุญคุณที่อีกฝ่ายเพิ่งจะช่วยจ่ายหนี้เทิดศักดิ์ให้
คนขับประจำตัวค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวเข้าไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมืองเชียงราย ร้านอาหารค่อนข้างหรูจนญารินแทบไม่กล้าจะเดินเข้าไปด้วยซ้ำ
“มาเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก ถือซะว่าฉันมาเลี้ยงปลอบใจที่เราเพิ่งจะสูญเสียพ่อไปก็ได้”
“ค่ะ” หญิงสาวโค้งกายนิด ๆ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องอาหารที่ถูกจัดแยกไว้เป็นส่วนตัว
“เสียดายที่นวลไม่ยอมมาด้วย”
“แม่เกรงใจคุณป้าน่ะค่ะ ว่าแต่คุณป้าจะให้หนูทำงานอะไรเหรอคะ” ญารินรีบเข้าประเด็นสนทนาในทันทีด้วยว่าเธอจะต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนนวลจันทร์ที่บ้าน
“ถามตรง ๆ แบบนี้ฉันก็จะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา คือว่า...ฉันจะให้เรามาแต่งงานกับลูกชายฉันน่ะ”
“คะ!?” หญิงสาวชะงักค้างกลางอากาศเมื่อปณิตาโพล่งออกมาตามตรง “ตะ...แต่งงานเหรอคะ”
“แค่แต่งงานตบตาแม่ย่าฉันน่ะ ทางนั้นเขาบอกว่าจะไม่ยอมยกไร่อมรภิรมย์ให้ลูกชายฉันจนกว่าตาปุณจะยอมแต่งงาน” คนสูงวัยกว่าตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางกระดกน้ำเข้าปากอย่างใจเย็นต่างจากญารินที่กำลังช็อกจนพูดอะไรไม่ออก
“หนูคงทำไม่ได้หรอกค่ะคุณป้า”
“ใจเย็นก่อน มันไม่ได้ยากขนาดนั้น แค่เล่นละครตบตาแม่ย่าฉันเท่านั้นเวลาอยู่กันตามลำพัง หนูไม่ต้องรู้สึกจริงจังกับลูกชายฉันก็ได้” ปณิตานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะปรับน้ำเสียงให้เบาลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบแทน “แต่ถ้าหนูกำราบลูกชายฉันให้เลิกเจ้าชู้ได้ ฉันก็ยินดีรับหนูไว้เป็นสะใภ้จริง ๆ นะ”
“แต่ว่าหนู...ไม่...เอ่อ...หนูไม่ได้รวยนะคะ” หญิงสาวก้มหน้างุด รู้สึกเจียมตัวเป็นอย่างดีว่าเธอเป็นใคร
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันเลือกหนูเพราะฉันมองออกว่าหนูไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน”
“แล้วลูกชายคุณป้าเขาจะยอมเหรอคะ เราไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้ยังไง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ส่วนเรื่องรักไม่รักนั่นก็อีกเรื่อง ฉันแค่ต้องการใครสักคนมาทำให้ตาปุณเลิกเจ้าชู้เสียที แต่ถ้าเกิดตาปุณเขารักหนูขึ้นมาจริง ๆ ฉันก็ยินดี” ปณิตายิ้มตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง ญารินจึงต้องหลบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของอีกฝ่ายด้วยการก้มหน้ามองฝ่ามือเย็นเฉียบของตัวเองพร้อมกับความคิดมากมายที่ตีกันในหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด
“ตาปุณของคุณป้าต้องขี้เหร่ขนาดไหนกันถึงหาแฟนดี ๆ สักคนไม่ได้”
“ไม่สิ คุณป้าบอกว่าเขาเจ้าชู้นี่นา ถ้าเกิดแต่งงานกันแล้วเขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นแล้วฉันจะรับได้เหรอ”
“แต่คิดไปคิดมา เราไม่ได้แต่งงานเพราะความรักอยู่แล้ว คุณป้ามีพระคุณกับฉัน แค่ทำเพื่อตอบแทนบุญคุณก็คงไม่เสียหายอะไรนี่”
“ตกลงไหมจ๊ะ หนูขิม” เสียงปณิตาเอ่ยเรียกแต่ญารินยังคงมีสีหน้าคิดหนัก
“เอ่อ...หนู”
“อ้าว ตาปุณมาพอดีเลย” อีกฝ่ายมองผ่านเธอไปที่ประตูทำให้หญิงสาวมองตามไปด้วยอีกคน เพียงวินาทีแรกที่ร่างนั้นเดินเข้ามาเธอก็รู้สึกได้เลยว่าโลกทั้งใบมันหยุดหมุนในทันที
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำราวกลองเพลในยามที่จ้องมองใบหน้าของคนมาใหม่ ถึงใบหน้านั้นจะออกไปทางยุโรปเช่นเดียวกับมารดา แต่เรือนผมของเขากลับเป็นสีดำสนิท ยิ่งตอนที่เขาถอดแว่นกันแดดเสียบไว้ตรงคอเสื้อ เผยให้เห็นดวงตาสีอำพันคมกริบคู่นั้น มันก็ทำให้เธอเผลอจ้องมองไปหลายวินาที
ชายหนุ่มสวมเสื้อหนังสีดำสนิทเดินลอดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับหมวกกันน็อคราคาแพงเพราะส่วนสูงที่น่าจะถึงร้อยแปดสิบปลาย ๆ จนต้องย่อตัวลงเล็กน้อย มือหนาเสยผมขึ้นแล้วจึงทรุดกายนั่งลงฝั่งตรงข้าม
เครื่องหน้าที่ถูกประกอบกันจนสมบูรณ์เพอร์เฟค ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่โด่งเป็นสันกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อนั่น ยิ่งเห็นเขาในระยะใกล้ ๆ มันก็ยิ่งทำให้สติของเธอหลุดลอยหายไปจนเผลอจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ลอยมาติดจมูกยิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นอีกหลายเท่า ใครเห็นก็มีแต่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...
“หล่อจัง...”
“ว่าไงนะหนูขิม” เสียงปณิตาดังขึ้นทำให้ญารินหลุดออกจากภวังค์ในทันที
“คือ...หนูจะบอกป้าว่า...หนูตกลงค่ะ”