ร่างบางระหงเดินกระสับกระส่ายอยู่หน้าบ้านด้วยความร้อนใจ สายตาคมกริบยังทอดมองไปยังถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปในไร่องุ่นเบื้องหน้าเพื่อเฝ้ารอคอยการกลับมาของลูกชายเพียงคนเดียว
“มาแล้วค่ะ มาแล้ว” เสียงประภาคนรับใช้วัยอาวุโสในบ้านดังขึ้นเมื่อเห็นรถตู้ที่ออกไปรับปุณณภัทรกำลังเลี้ยวเข้ามาในไร่ตรงดิ่งมาที่บ้านหลังใหญ่ ถึงตอนนั้นปณิตาจึงรีบออกไปต้อนรับลูกชายทันที
“คิดว่าจะปล่อยให้แม่รอเก้อเสียอีก”
“ผมบอกว่ากลับ ยังไงผมก็ต้องกลับอยู่แล้วครับ” คนที่ก้าวลงจากรถสวมกอดร่างมารดาไว้แนบแน่น “คิดถึงคุณแม่จัง สบายดีเหรอครับ”
“จะสบายได้ไงล่ะ ถูกกดดันทุกวี่ทุกวัน” ปณิตาบ่นอุบพลางคล้องเอวสอบของลูกชายก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน ประภาจึงรีบจัดการหาน้ำหาท่าออกมาต้อนรับ
“กดดันจากบ้านโน้นเหรอครับ” เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทถอดแว่นสีชาออกแล้วเหลือบมองไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของไร่ เป็นบ้านของเกื้อกูล อาผู้ล่วงลับที่ภัสสรกับเมธวินอาศัยอยู่ด้วยกัน
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเราไม่กลับมา คุณย่าต้องยกทุกอย่างให้ตาเมธแน่ ๆ ”
“คุณแม่จะกลัวอะไรขนาดนั้นครับ ผมเป็นหลานแท้ ๆ ยังไงก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมอยู่แล้ว” อีกฝ่ายตอบพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมากรอกเข้าปากอย่างใจเย็น
“รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วรีบไปบ้านคุณย่ากันเถอะ”
“จะรีบไปไหนครับ ผมเพิ่งมาถึงเอง” ปุณณภัทรทิ้งศีรษะลงบนพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่กลับถูกมารดารั้งแขนเอาไว้
“ไปหาคุณย่าก่อนแล้วค่อยกลับมาพัก ทำเพื่อแม่สักครั้งได้ไหม”
“ก็ได้ครับ งั้นผมไปชุดนี้เลยละกัน” เขารับปากอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออกแล้วขับรถออกไปยังคฤหาสน์หลังไร่เพื่อหาณฤดีตามคำขอร้องของมารดาในทันที
“คุณปุณ...คุณปุณกลับมาแล้ว” บัวคำ สาวใช้ประจำบ้านใหญ่ร้องดังขึ้นด้วยความดีใจ ปุณณภัทรได้แต่ยิ้มทักทายก่อนจะขึ้นไปหาผู้เป็นย่ายังชั้นสองของบ้าน
ทันทีที่เห็นการกลับมาของหลานชาย ณฤดีก็ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจอีกคน
“คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเราก่อนตายเสียแล้ว” หญิงชราเอ่ยทัก
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ คุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลย” ปุณณภัทรตอบพร้อมกับสวมกอดณฤดีด้วยความคิดถึงไม่ต่างกัน
“นี่หายโกรธย่าแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณย่าเสียหน่อย” เมื่อถูกถามตรง ๆ เขากลับรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที
“ไม่ได้โกรธแต่หนีหน้าไปต่างประเทศตั้งหลายปี แม่เราไปหว่านล้อมเอาท่าไหนล่ะถึงได้ยอมกลับมา”
“แม่ไม่ได้พูดอะไรหรอกครับ ผมแค่กลับมาทวงตำแหน่งของผมคืนแค่นั้น” ปุณณภัทรตอบไปตามตรง ทำให้ณฤดีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะรู้ดีว่าปุณณภัทรยังน้อยใจที่เธอมอบไร่ครึ่งหนึ่งให้เป็นชื่อของเมธวิน ทั้งที่เมธวินเป็นแค่หลานบุญธรรมเท่านั้น
“ทุกอย่างมันก็ยังเป็นของเราเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมดูแลไร่และบริษัทอมรภิรมย์มาตั้งนาน แต่คุณย่ากลับไปเซ็นมอบให้อีกคนแถมยังไล่ผมไปอีก” ชายหนุ่มตัดพ้อ
“ย่าแค่ให้ตาเมธเขามาช่วยดูแลก็เท่านั้น” ณฤดีอธิบาย เธอเองก็รักหลานชายคนนี้ไม่น้อยไปกว่าใคร หากแต่วันนั้นเธอเองที่เป็นฝ่ายใจร้อนจนเผลอเอ่ยปากไล่เขาออกไปจากบ้านเพราะรับไม่ได้ที่หลานชายตัวดีแอบพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน
ด้วยสาเหตุนี้เองที่ปณิตาตัดสินใจแยกบ้านออกไปอยู่อีกฟากหนึ่งของไร่แต่มันก็สายเกินไปเพราะปุณณภัทรเป็นคนทิฐิสูง เขาจึงตัดสินใจหอบกระเป๋ากลับไปอยู่บ้านที่อังกฤษแทน
“ย่ายอมรับว่าวันนั้นย่าเองก็ใจร้อนที่เอ่ยออกไปแบบนั้น”
“เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่าไปพูดถึงมันอีกเลยครับ” ชายหนุ่มต้องการจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาเพราะต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับณฤดี
“ผ่านมาแล้ว...งั้นก็แสดงว่าเราเองก็เลิกเจ้าชู้แล้วน่ะสิ”
“ผมไม่เคยเจ้าชู้นี่ครับ” เขาปฏิเสธตาใสแต่คนสูงวัยกว่าก็ยังย้ำถามอีกครั้ง
“ปีนี้สามสิบสองแล้วนี่ มีแพลนจะแต่งงานหรือยัง”
“ผมยังไม่คิดถึงเรื่องนั้นหรอกครับ” เป็นอีกครั้งที่ปุณณภัทรยังปฏิเสธ อย่าว่าแต่จะแต่งงานแค่การคบใครจริงจังสักคนเขายังไม่เคยคิดด้วยซ้ำ
“แสดงว่าเลิกเจ้าชู้แล้วก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วสิ ทำไมไม่พามาหาย่าด้วยล่ะ”
“ผมยังไม่มีใครหรอกครับย่า”
“อ้าว เห็นแม่เราคุยนักหนาว่าเรามีแฟนแล้ว แบบนี้ย่าก็อดอุ้มเหลนน่ะสิ” ณฤดีขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม นึกสงสัยสิ่งที่ปณิตาพร่ำบอกว่าปุณณภัทรนั้นมีแฟนที่คบหากันมานานแล้ว และไม่เคยเปลี่ยนคู่นอนเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น
“ก็มีแล้วน่ะสิคะ ตาปุณคงจะเขินเลยไม่กล้าบอกคุณแม่” ปณิตานึกสังหรณ์ใจจึงรีบตามมา และมันก็ได้จังหวะพอดีแบบไม่ได้นัดไว้ “วันก่อนที่โทรคุยกัน เรายังบอกแม่อยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ...ครับ” ปุณณภัทรยิ้มเจื่อน ๆ ไปตามน้ำเพราะไม่ต้องการหักหน้าแม่เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธ
“อายุปูนนี้แล้วจะเขินทำไม ย่าได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ เห็นเรากำลังจะมีครอบครัวที่มั่นคง ย่าก็จะได้เซ็นมอบไร่อมรภิรมย์ให้เราดูแลซะ”
“หมายความว่าคุณแม่จะให้ตาปุณกลับมาบริหารงานในไร่แล้วเหรอคะ” ปณิตา ตาลุกวาวขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะเธอโลภทรัพย์สมบัติแต่เพราะเธอต้องการปกป้องสิทธิ์ของลูกชายต่างหาก
“ฉันรู้นะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราจะเคยมีผู้หญิงอีกกี่คนฉันไม่ว่า แต่ถ้าเราจะขึ้นมาเป็นประธานในเครืออมรภิรมย์ทั้งหมด เราก็ต้องทำตัวให้มันน่าเคารพ” ณฤดีอธิบายต่อยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้าจริงจังอย่างเห็นได้ชัด “อมรภิรมย์คือความสุข คือชีวิต คือทุกอย่างที่ย่ากับปู่สร้างร่วมกันมา ย่าอยากให้อมรภิรมย์มีภาพลักษณ์ที่ดี เห็นเราเลิกเจ้าชู้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วย่าก็ดีใจ”
“เดี๋ยวนะครับคุณย่า ผมไม่เห็นว่าการที่ผมจะมาบริหารงานในไร่หรือบริษัท มันไม่เกี่ยวกับการที่ผมมีแฟนหรือไม่มีแฟนเลยนะครับ” ปุณณภัทรเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เกี่ยวสิ...เพราะว่าถ้าเรายังเจ้าชู้เที่ยวผู้หญิงเหมือนแต่ก่อน ย่าไม่มีวันยอมให้เราเข้ามาบริหารงานแน่ และย่าเองก็ไม่ได้โง่ที่จะมองไม่ออกว่าแม่เรากำลังโกหก”
“โกหกเรื่องอะไรคะคุณแม่” คนถูกกล่าวถึงสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ
“ก็โกหกที่ตาปุณมีแฟนแล้วน่ะสิ”
“มีแล้วจริง ๆ ค่ะ นี่ก็แพลนว่าจะแต่งงานแล้วด้วย ถ้าคุณแม่ไม่เชื่อเดี๋ยวนิดจะให้ตาปุณพามาแนะนำตัวกับคุณแม่ก็ได้” ปณิตาโพล่งออกไปไวกว่าความคิดทำให้ปุณณภัทรพลอยตกใจไปด้วย
“คุณแม่...”
“ในเมื่อเธอยืนยันแบบนั้นฉันก็พอจะสบายใจหน่อย” คนสูงวัยกว่าปรายตามองศรีสะใภ้ชั่วครู่แล้วจึงหันไปพูดกับหลานชายต่อ “กฎของย่าคือ เราต้องแต่งงานแล้วรีบมีเหลนให้ย่าก่อนที่ย่าจะตาย ทำให้ย่าเห็นว่าเรามีครอบครัวที่มั่นคงถึงตอนนั้นย่าถึงจะยอมยกบริษัทและไร่อมรภิรมย์ให้เป็นชื่อของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น”
“มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนะครับคุณย่า” ปุณณภัทรทักท้วง
“เกี่ยวสิ ย่าบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าย่าอยากให้อมรภิรมย์มีภาพลักษณ์ที่ดูดี ถ้าเรายังทำตัวเหลวแหลก ใครที่ไหนเขาจะเคารพนับถือเราเป็นเจ้านายกันล่ะ”
ปุณณภัทรมีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเมธวินที่กำลังเดินเข้ามาในห้องตามคำเรียกของ ณฤดี เขาจึงรีบตกปากรับคำทันทีเพราะไม่อยากให้หลานนอกไส้เข้ามาชุบมือเปิบ
“ก็ได้ครับ ถ้ามันทำให้คุณย่าสบายใจ ผมก็จะรีบพาเธอมาพบคุณย่า แล้วก็ให้คุณย่าหาฤกษ์แต่งงานให้ผมได้เลย”
“มันต้องอย่างนี้สิ หลานย่า” ณฤดียิ้มอย่างพอใจพลางสวมกอดปุณณภัทรไว้ด้วยความหวัง ทั้งที่เขาเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งงานด้วยเพื่อแลกกับตำแหน่งที่เขาสมควรจะได้รับ