บทนำ
รถหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังงามทรงยุโรปใจกลางไร่องุ่นเบื้องหน้า ก่อนที่ร่างบางระหงของสตรีวัยห้าสิบต้น ๆ จะก้าวลงจากรถด้วยความร้อนใจ สายตาคมกริบเหลือบมองไปที่รถอีกคันแล้วจึงหันไปถามแม่บ้านที่ออกมาต้อนรับ
“ภัสสรมาแล้วเหรอ”
“มาแล้วค่ะ ขึ้นไปได้สักพักแล้ว”
คิ้วโก่งคู่งามขมวดเข้าหากันก่อนจะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนปีกขวาของคฤหาสน์ก่อนจะพบกับณฤดี แม่สามีที่กำลังป่วยด้วยวัยชราจนแทบจะเดินเหินไม่ได้
“อ้าว! แม่นิดมาพอดี กำลังจะให้แม่สรโทรตามอยู่แล้วเชียว” คนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งบนเตียงกว้างเอ่ยทักพลางผันหน้าไปยังสะใภ้หมายเลขสองที่นั่งอยู่เคียงข้าง
“ต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่มาช้า พอดีคนงานในไร่บาดเจ็บน่ะค่ะ ก็เลยต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาล” ปณิตาตอบในขณะที่ทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง
“คุณพี่ก็อายุเยอะแล้ว ทำไมไม่เรียกตาปุณกลับมาช่วยงานล่ะคะ” ภัสสร สะใภ้รองเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากแต่ในใจกลับมีแต่ความอิจฉาริษยา “ดูอย่างตาเมธสิ ขนาดไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของคุณแม่ ยังตรากตรำทำงานหนักทุกวันเลย”
“แหม...ก็เพราะว่าไม่ใช่หลานแท้ ๆ น่ะสิ ถึงต้องพยายามหน่อยไม่เหมือนกับตาปุณ สรเคยได้ยินไหมจ๊ะ ที่เขาพูดกันว่า คนที่ใช่มักไม่ต้องพยายาม”
“นี่คุณพี่!”
“พอได้แล้ว แก่จนจะลงโลงอยู่แล้วก็ยังทะเลาะกันอยู่ได้” ณฤดีร้องห้ามทำให้ศรีสะใภ้ทั้งสองคนต้องเงียบปากลงในทันที “มันก็จริงอย่างที่แม่สรว่านะ ตาปุณไปเรียนต่อโทมาตั้งหลายปี ถึงเวลาที่เราจะต้องเรียกตัวกลับมาได้แล้วล่ะ เราเองก็ใช่ว่าจะแข็งแรงเหมือนตอนสาว ๆ หาใครสักคนมาช่วยดูแลไร่อีกคนก็ดีเหมือนกัน ฉันเองก็กำลังจะวางมือแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะคุณแม่” ภัสสรตาลุกวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“ฉันก็แก่มากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะตามสามีแล้วก็ลูกไป” ใบหน้าณฤดีดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงสามีและลูกชายทั้งสองคนที่เสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุรถตกเขาเมื่อหลายปีก่อน
จากการสูญเสียครั้งใหญ่ในตอนนั้น ทำให้ทุกคนต่างพากันเศร้าโศกกันไปตาม ๆ กัน แต่ก็นับได้ว่ายังโชคดีเมื่อเสร็จสิ้นจากงานศพ เธอกลับได้รับข่าวดีจากปณิตาสะใภ้ใหญ่ว่ากำลังตั้งท้องหลานชายคนแรกของตระกูล ทำให้ภัสสรนึกอิจฉาเพราะเธอไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จึงรับเลี้ยงเมธวินจากบ้านเด็กกำพร้ามาเป็นลูกบุญธรรมดูแลกิจการมาจนถึงทุกวันนี้
“ฉันว่าฉันจะวางมือให้พวกเธอดูแลไร่อมรภิรมย์แทน แต่ไอ้หลานแท้ ๆ ก็ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านติดเรือนช่วยดูแลกิจการครอบครัว” ณฤดีบ่นถึงปุณณภัทรหลานแท้ ๆ ที่ไม่กลับมาอยู่บ้านเลยนับตั้งแต่วันที่เธอประกาศให้เมธวินเข้ามาช่วยดูแลกิจการ
“คุณแม่ก็ทราบดีนี่คะว่าทำไมตาปุณถึงไม่ยอมกลับมา” ปณิตาเสริม เป็นเพราะแม่สามีเห็นคนอื่นดีกว่าหลานในไส้ของตัวเอง ปุณณภัทรจึงตัดการติดต่อ อ้างว่าจะไปเรียนต่อโทที่อังกฤษ แต่เขาก็หายไปไม่กลับมาที่ไร่อีกเลย
“เพราะคุณพี่ให้ท้ายตาปุณแบบนั้นไงล่ะคะ เขาถึงยังไม่ยอมกลับมา”
“มันก็เข้าทางเธอไม่ใช่เหรอ เธออยากจะให้ตาเมธเข้ามาแทนที่ตาปุณอยู่แล้วนี่”
ศรีสะใภ้ทั้งสองเริ่มมีปากเสียงกันอีกครั้งจนณฤดีตั้งรีบตัดบททำให้บทสนทนาของคนทั้งคู่เงียบหายไปในทันที
“ถ้าตาปุณไม่กลับมา ฉันก็จะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ตาเมธเป็นคนดูแลซะ”
“คุณแม่!” ปณิตาถึงกับโอดครวญ “แต่ตาปุณเป็นลูกชายของคุณกานต์ เป็นหลานแท้ ๆ ของคุณแม่นะคะ คุณแม่จะยกทุกอย่างให้ตาเมธไม่ได้นะคะ”
“งั้นก็เรียกตาปุณกลับมา ทิ้งทิฐิไว้ที่นั่นแล้วมาช่วยดูแลกิจการในไร่” ณฤดีออกคำสั่งทำให้ปณิตาถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าภัสสรกำลังถือไพ่เหนือกว่า
“ค่ะ เดี๋ยวจะรีบติดต่อตาปุณกลับมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ดี...กลับมาถึงเมื่อไหร่ก็รีบพาเขามาหาฉันที่นี่ละกัน” เมื่อทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว ณฤดีจึงลดน้ำเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย “แล้วก็ตามตาเมธมาหาฉันด้วย ถึงจะไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่ตาเมธก็ช่วยดูแลงานในไร่มาตลอด ฉันเองก็อยากจะตอบแทนเขาบ้าง”
“คุณแม่จะให้อะไรตาเมธเหรอคะ” ภัสสรเอ่ยถามขึ้นทันทีเพราะคิดว่าแม่สามีจะยกที่ทางหรือกิจการให้
“ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว คิดว่าก่อนตายอยากจะเห็นหลานชายทั้งสองแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน ถ้าจะให้ดีฉันก็อยากจะอุ้มเหลนเต็มทีแล้วล่ะ ใครสร้างครอบครัวที่มั่นคง มีหลานให้ฉันก่อน ฉันก็เซ็นยกไร่อมรภิรมย์ให้คนนั้นเป็นคนดูแล” คนสูงวัยคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงชีวิตในบั้นปลายที่วาดไว้ก่อนตาย อยากจะอุ้มเหลนอีกครั้งเพื่อจะได้ไปบอกสามีบนสวรรค์ว่าเธอนั้นมีอายุยืนจนได้เห็นเหลนตัวน้อย ๆ
ปณิตาดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำสั่งของแม่สามี เพราะรู้ดีว่าปุณณภัทรลูกชายนั้นค่อนข้างจะรักอิสระ แค่ได้ยินคำว่าแต่งงานเขาก็ต้องอกแตกตายก่อนจะมีลูกแน่ ๆ
“แล้วเรามาดูกันนะคะ ว่าระหว่างตาเมธกับตาปุณ ใครจะได้เป็นเจ้าของไร่อมรภิรมย์” ภัสสรยักยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจก่อนจะกระแทกไหล่สะใภ้ใหญ่กลับขึ้นไปบนรถเพื่อเดินทางไปบอกข่าวดีแก่ลูกชาย
ปณิตาได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามรถของภัสสรจนหายลับไปแล้วจึงหยิบสมาร์ตโฟนออกมาต่อสายหาลูกชายในทันที
เสียงรถบนท้องถนนพร้อมใจกันบีบแตรส่งสัญญาณให้คันข้างหน้าขยับตัวออกเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเหลือง ทำให้ร่างบางระหงที่กำลังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องสะกิดเอวบอกคนขับวัยกลางคนให้เริ่มออกตัวด้วยความร้อนใจ
“เร็วกว่านี้หน่อยสิลุง”
“รถลุงมันเก่าแล้ว ไวสุดก็ได้เท่านี้แหละนังหนู ถ้ารีบนักทำไมไม่มารอตั้งแต่เมื่อวานล่ะวะ” เดชา คนขับตอบกลับพร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่ดังลั่นจนรถคันข้าง ๆ หันมามอง
“แหมลุง นี่ฉันเห็นว่าลุงเป็นเจ้าประจำหรอกนะถึงได้ช่วยอุดหนุน นั่งรถลุงมาเนี่ย”
“เออ เดี๋ยวตอนเย็นเลิกงาน ลุงจะมารอตั้งแต่บ่ายสามเลย”
“ลุงอย่ามัวแต่พูดสิ มองทางข้างหน้าด้วย เห้ย! ลุงระวังรถกำลังเลี้ยว” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ถึงคนขับอายุจะปาเข้าเลขหกแต่เพราะถูกลูกหลานทอดทิ้งจึงต้องฝืนสังขารมาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างหาเลี้ยงชีพ คนที่ขี้สงสารอย่างเธอจึงต้องคอยอุดหนุนอยู่ประจำแม้จะมาถึงบริษัทช้าในบางวันก็ตาม
“ถึงแล้ว”
“คิดว่าจะแวะเสียกลางทางซะอีก” หญิงสาวกระโดดลงจากรถพร้อมกับยื่นธนบัตรเป็นค่าตอบแทนเกินจำนวนเหมือนเช่นทุกครั้ง “ตอนเย็น ลุงอย่าลืมมารอหนูตอนบ่ายสามล่ะ เดี๋ยวหนูให้ทิป”
“จัดไป” อีกฝ่ายรับหมวกกันน็อคคืนแล้วโบกมือให้ลูกค้าเจ้าประจำก่อนจะขับรถออกไป
“ตายแล้ว!” หญิงสาวตาเบิกกว้าง เมื่อก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นเวลาที่เลยมาเกือบจะครึ่งชั่วโมง จึงรีบหยิบกระเป๋าเอกสารวิ่งเข้าไปในลิฟต์ทันที
เสียงประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างบางระหงสวมเสื้อแขนยาวสีครีมกับกางเกงขายาวสีดำที่เดินก้มหน้าเข้ามาภายในออฟฟิศ มือเรียวกระพุ่มมือไหว้ทักทายเพื่อนร่วมงานจนกระทั่งหันไปสะดุดเข้ากับสายตาของหัวหน้า
“มาสายอีกแล้วสินะยัยขิม” เสียงนวิยาหัวหน้าวัยสามสิบต้น ๆ ค้อนขวับผ่านแว่นสายตาเลนส์ใสที่สวมติดตัว
“ขอโทษค่ะพี่วิ วันนี้รถติดมากเลยค่ะ”
“พี่ก็เห็นรถมันติดทุกวันน่ะแหละ” อีกฝ่ายว่าพลางหยิบเอกสารกองโตวางไว้บนโต๊ะ ทำให้คนที่ยังหอบเหนื่อยถึงกับตาเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง
“อะไรกันคะเนี่ย”
“ก็งานที่เราต้องทำส่งภายในวันนี้ไงล่ะ” นวิยาคลี่ยิ้มพร้อมกับตบมือลงบนกองเอกสารอีกครั้ง “พี่ช่วยทำไปบ้างแล้ว แต่เดี๋ยวต้องไปเข้าประชุมต่อ ฝากเราด้วยนะ”
“ค่ะพี่วิ” หญิงสาวคำสั่งก่อนจะทรุดกายนั่งลงเพื่อสะสางงานตรงหน้าให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงแต่เธอก็ยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์จนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น พนักงานคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน
“ทำโอเหรอขิม” เสียงลดา หนึ่งในเพื่อนร่วมงานเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังนั่งทำงานต่อ
“เปล่าหรอกค่ะ แค่จะอยู่ทำงานต่อให้เสร็จ”
“ให้พี่ช่วยไหม” ลดาถามต่อ
“ไม่เป็นไรค่ะใกล้จะเสร็จแล้ว พี่กลับก่อนได้เลย”
“งั้นสู้ ๆ นะ” อีกฝ่ายให้กำลังใจก่อนจะเดินตามคนอื่น ๆ ออกไปจนทั้งออฟฟิศเหลือเธอแค่คนเดียว
ญารินเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วก้มลงจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่ออย่างไม่มีทางเลือก
เข้าใจดีว่าเธอเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ได้ทุนเรียนฟรีจนจบแต่ก็ต้องเข้ามาทำงานในบริษัทเครืออมรภิรมย์ด้วยเงินเดือนที่เริ่มต้นแค่หมื่นห้าเพื่อแลกกับค่าเทอมที่เธอใช้จ่ายไป ด้วยเหตุนี้พนักงานคนอื่น ๆ จึงมักจะสั่งงานเธอเยี่ยงทาส แม้ปากจะบอกว่าเห็นใจแต่ลึก ๆ เธอรู้ดีว่าไม่มีใครรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เลยสักคน
“เสร็จเสียที เมื่อจะแย่อยู่แล้ว” ในที่สุดหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ถูกปิดลง ถึงจะรู้ดีว่าถูกรับน้องเพราะเธอเพิ่งเริ่มทำงานที่นี่ได้เพียงแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ไม่แปลกที่จะโดนณิชามอบหมายงานใหญ่ให้แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
“มาแล้วเหรอ คิดว่ากลับไปแล้วเสียอีก” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวลงมาจากตึก ทำให้ญารินตาเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเจ้าประจำกำลังนั่งคร่อมอยู่บนรถเพื่อเฝ้ารอเธอ
“ลุง! ตายจริง หนูขอโทษ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้เป็นการใหญ่ด้วยความรู้สึกผิด “หนูไม่คิดว่าว่าวันนี้งานจะเยอะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไร คงจะเหนื่อยแย่เลยล่ะสิ ขึ้นรถเถอะ” คนขับยิ้มกว้างพลางส่งหมวกนิรภัยให้เหมือนทุกครั้ง
ญารินได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปริ่มแกมรู้สึกผิดที่เดชายังคงมารับมาส่งเธอเหมือนลูกเหมือนหลานตั้งแต่ฝึกงานจนกระทั่งเรียนจบ เมื่อมาถึงหน้าหอพักเอจึงจ่ายค่าโดยสารให้ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าอีกครั้ง
“ไม่ต้องให้ลุงหรอก เมื่อเช้าหนูก็ให้มาตั้งเยอะแล้ว”
“รับไปเถอะค่ะ ถือเสียว่าเป็นค่ามารอหนู” หญิงสาวพยายามยัดเงินใส่ในฝ่ามือที่หยาบกระด้างนั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วหมุนตัวกลับขึ้นไปบนห้อง
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ร่างบางก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่มของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับกาย
“เหนื่อยจัง”
ญารินบ่นพึมพำพลางปิดตาลงแต่ทว่าเสียงสมาร์ตโฟน ในกระเป๋าก็ร้องดังขึ้นมาเสียก่อน
“แม่...” หญิงสาวอ่านชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ รีบเด้งตัวลุกนั่งแล้วกดรับสายในทันที
“กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะแม่”
(แม่เองก็คิดถึง...กินข้าวกินปลาหรือยัง) เสียงปลายสายตอบรับกลับมาพร้อมกับคำถาม ทำให้ญารินต้องโป้ปดกลับไปทั้งที่เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า
“เพิ่งทานเสร็จค่ะ แม่ล่ะคะ”
(แม่กินแล้ว...แค่ก ๆ ๆ) เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจเพราะเสียงไอของคนข้าง ๆ ดังแทรกขึ้นมา
“พ่ออาการกำเริบอีกแล้วเหรอคะแม่” ญารินเอ่ยถาม รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนสถานที่สนทนาเพื่อไม่ให้เธอได้ยินเสียงบิดา
(ไม่มีอะไรหรอก มันก็ไอแบบนี้ทุกวันนั่นแหละ)
(ญาติของคุณมาโนชใช่ไหมคะ) เสียงพยาบาลเอ่ยเรียกมาตามปลายสายก่อนที่นวลจันทร์จะรีบวางสายไป ถึงตอนนั้นมันก็ทำให้ญารินตระหนักได้ในทันทีว่าบิดาอาการกำเริบจนต้องหามส่งโรงพยาบาล และที่นวลจันทร์โทรมาก็คงจะขอเงินค่ารถเดินทางกลับอย่างแน่นอน
“เหลืออีกสามพันจะใช้ชีวิตถึงสิ้นเดือนไหมเนี่ย” มือเรียวยกขึ้นวางพาดบนหน้าผากด้วยความกลุ้มใจเมื่อเปิดแอปพลิเคชันของธนาคารแล้วเห็นจำนวนเงินที่โชว์หราอยู่บนนั้นก่อนจะตัดสินใจโอนเงินให้นวลจันทร์ไปสองพันบาทเหลือติดบัญชีไว้แค่พันเดียว
“คงต้องกินมาม่าไปก่อน” หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดี ยอมอดดีกว่าปล่อยให้พ่อกับแม่ต้องลำบาก อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว หากได้รับเงินเดือนก็คงจะพอส่งไปจ่ายค่ารักษามาโนชได้
เสียงสมาร์ตโฟนดังขึ้นอีกครั้งทำให้นิ้วเรียวที่เพิ่งจะกดออกจากแอปพลิเคชั่นธนาคารต้องกดรับสายนวลจันทร์อีกครั้ง
(ขิมโอนเงินมาเหรอลูก)
“ค่ะแม่ ขิมรู้นะว่าแม่อยู่โรงพยาบาล ทำไมไม่บอกขิมล่ะคะ” หญิงสาวตัดพ้อเล็ก ๆ
(ก็แม่ไม่อยากให้ขิมเป็นห่วง ลำพังแค่ทำงานมันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว)
“แต่นั่นก็พ่อขิมทั้งคนนะแม่ มีอะไรแม่ต้องโทรบอกขิมนะคะ” ญารินบังคับอีกครั้งก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปชั่วอึดใจ
(พ่อเราอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้วน่ะสิ แต่คราวนี้ไอเป็นเลือดเลย ทางโรงพยาบาลเขาเสนอว่าต้องส่งตัวไปรักษาต่อกรุงเทพฯ เครื่องมือที่นั่นเขาพร้อมมากกว่าที่นี่)
“งั้นแม่ก็มาเลยค่ะ เดี๋ยวขิมจะไปรอรับ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นในทันทีเพราะเธอเองก็ทำงานในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว
(พ่อแกไม่ยอมไปน่ะสิ บอกว่ารักษาไปก็มีแต่จะเปลืองเงิน)
“งั้นเดี๋ยวขิมจะลองกลับไปคุยกับพ่อเองค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยังไงพ่อก็ต้องหาย” ญารินให้กำลังใจนวลจันทร์ก่อนที่ปลายสายจะตัดไปเพราะเงินคงจะหมด
หญิงสาวพลิกตัวฟุบหน้าลงบนที่นอนอีกครั้งอย่างคนหมดเรี่ยวแรง รู้สึกเหนื่อยล้ากับปัญหาชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เหลือเกิน หากไม่ติดว่าเธอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยทุนการศึกษาแล้วต้องทำงานให้บริษัทในเครืออมรภิรมย์แล้วล่ะก็ เธอไม่มีทางจากบ้านมาอยู่คนเดียวแบบนี้อย่างแน่นอน