“ได้ค่ะ” ดีเหมือนกัน เธอจะได้มีข้ออ้างกลับบ้านช้า จะได้ไม่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเขาคนนั้น คนใจร้ายที่ไม่รู้ว่ามาที่นี่ทำไม…
ทางด้านภูมินทร์เองก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เจอหน้าใครบางคนที่ทำให้เขาหมดสิ้นความอดทนจนต้องยอมทิ้งความพยายามตลอดหนึ่งปีเต็มๆ ด้วยการเดินทางมายังไร่ของผู้เป็นป้าด้วยตัวเอง
“นี่พรีมละครับคุณป้า” ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะถามหาคนที่เขาอยากพบหน้ามากกว่าใครๆ เมื่อทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก เขาเฝ้าคิดถึงใบหน้าอ่อนหวานที่ไม่ว่าจะพยายามโทรหากี่ครั้งก็ไม่ยอมรับสายมาตลอดการเดินทาง แต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบเธอแม้เงา
“เอ่อ…รายนั้นเขาหนีเข้าไร่ไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะจ๊ะ ป้าก็บอกเขาแล้วนะว่าวันนี้ภูมิจะมาหาไม่ต้องเข้าไร่ เด็กอะไรดื้อเสียจริงเชียว” เขายิ้มรับคำตอบจากผู้เป็นป้าเหมือนจะพอเดาออกอยู่บ้างว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมอยู่รอที่จะเจอหน้ากันง่ายๆ แน่ ซึ่งเขาก็คิดไม่ผิดจริงๆ ด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรอได้ คุณป้าล่ะครับสบายดีรึเปล่า”
“ก็เรื่อยๆ แหละจ๊ะ ดีหน่อยที่มียัยพรีมมาอยู่ด้วยเลยไม่เหงาเท่าไหร่ ขานั้นเขาคุยเก่งปากหวาน คนงานที่นี่ทุกคนก็พากันทั้งรักทั้งหลงกันยกใหญ่เชียว” พอได้ยินว่าเธอสบายดีภูมินทร์ก็ค่อยเบาใจลงไปมาก อันที่จริงเขาเองก็รับรู้การเป็นอยู่ของอีกฝ่ายมาโดยตลอดจากผู้เป็นป้า แต่ถึงจะรู้ว่าเธอสบายดีอย่างไรภายในใจก็อดคิดถึงมาไม่ได้จนในที่สุดความอดทนก็หมดสิ้นลงจำต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อทำบางสิ่ง บางสิ่งบางอย่างที่เขาสมควรที่จะทำมันมาตั้งนานแล้ว
แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยิมยอมพร้อมใจรึเปล่า
เขานั่งรอการกลับมาของน้องสาวอย่างใจเย็นตลอดทั้งวัน แต่พอเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าความอดทนอดกลั้นมันจะค่อยๆ หมดลงตามไปด้วยเท่านั้น นี่ก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว ทำงานอะไรกันป่านนี้ถึงได้ยังไม่กลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
“นายกวีคนนั้นเขาไว้ใจได้แน่เหรอครับคุณป้า ดึกดื้นป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่พาพรีมกลับมาส่งอีก!” คุณหญิงแพรวพราวได้แต่ส่งยิ้มมาให้เป็นการแก้ขัด นางเองก็ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้เสียด้วยสิ เพราะปกติแล้วกวีก็มักจะพาราชาวดีมาส่งไม่เกินหกโมงเย็น หรือหากทั้งคู่ติดภารกิจเร่งด่วนก็ต้องโทรมาบอกกล่าวกันก่อน ไม่ใช่หายตัวไปด้วยกันทั้งมือถือยังติดต่อไม่ได้แบบนี้
“ป้าว่าเราใจเย็นๆ ก่อนนะตาภูมิ สองคนนั้นคงใกล้กลับแล้วล่ะ นั่นไง เสียงรถของตาวีนี่” เสียงรถที่กำลังขับเคลื่อนเข้ามาใกล้บริเวณบ้าน เปรียบเสมือนระฆังช่วยชีวิตหญิงสูงวัยได้แทบจะทันที
ภูมินทร์ไม่ได้ตอบอะไรผู้เป็นป้า เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่น้องสาวซึ่งกำลังยืนโบกไม้โบกมือให้กับผู้ชายที่ขับรถมาส่งเธออยู่ ภาพนั้นมันทำให้เขารู้สึกอยากจะตรงเข้าไปกระชากอีกฝ่ายให้เข้าบ้านแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด สุดท้ายก็ทำได้เพียงนั่งอยู่กับที่ รอคอยให้ราชาวดีเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหากันเสียเอง
“ไปไหนมาทำไมกลับบ้านเสียมืดค่ำแบบนี้!!” ราชาวดีแทบไม่อยากจะเชื่อหูว่านี่จะเป็นประโยคแรกที่เขาทักทายกันหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาถึงหนึ่งปีเต็ม หญิงสาวจ้องมองเจ้าของคำถามที่ไม่ได้เจอกันนานแต่ความหล่อเหลาชวนมองของเขานั้นมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามของพี่ชาย แต่กลับหันไปส่งยิ้มให้ผู้เป็นป้าแทนทำเหมือนภูมินทร์คืออากาศที่มองไม่เห็นก็ไม่ปาน การกระทำนั้นยิ่งสร้างความหงุดหงิดแก่คนที่รอที่จะเจอหน้าเธอมาตลอดทั้งวัน เป็นอย่างมากเมื่อได้เห็น
“พรีมแวะทานข้าวกับคุณลุงชัยมาแล้วนะคะคุณป้า พอดีแบตโทรศัพท์หมดก็เลยไม่ได้โทรมาบอกก่อน พรีมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนก่อนนะคะ” แต่ราชาวดีกลับได้ใส่ใจ เธอกล่าวบอกเพียงสั้นๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินหนีไปยังชั้นสองยังห้องนอนของตัวเองแทน
“น้องคงกำลังสับสนอยู่ อย่าไปถือสาเลยนะตาภูมิ”
“ผมทราบดีครับคุณป้าว่าพรีมเป็นคนแบบไหน แต่ผมปล่อยผ่านเรื่องนี้มานานเกินไป คุณป้าเข้าใจผมใช่ไหมครับ ไม่ว่ายังไงพรีมก็ต้องกลับไร่ปานสิงค์กับผม ผมขอตัวขึ้นไปคุยกับน้องก่อนนะครับ”
“จ๊ะ คุยกันดีๆ ล่ะ” คุณหญิงแพรวพราวรับคำโดยไม่ขัดอะไร นางเองก็ใช่ว่าจะมีความสุขกับหนึ่งปีที่ผ่านมาท่ามกลางความไม่เข้าใจกันของหลานทั้งสองคน พอได้รู้ว่าภูมินทร์อยากจะมารับน้องสาวกลับไปที่ไร่ก็ยิ่งรู้สึกเห็นด้วย เพราะการหนีปัญหามันไม่ใช่ทางออก ราชาวดีเองก็โตขึ้นมาก นางเชื่อว่าหลานสาวมีสติขึ้นเมื่อได้มาอยู่ที่นี่ นิสัยอารมณ์ร้อนขาดสติที่เคยเป็นก็น่าจะหายไปบ้างล่ะ
ที่เหลือก็คงขึ้นอยู่กับคนพี่แล้วว่าจะใช้วิธีพาตัวเด็กดื้อกลับไปที่ไร่ด้วยกัน แต่ที่รู้แน่ๆ คือเรื่องนี้คงไม่สำเร็จง่ายๆ แน่นอน