I hope sleeping can take the sadness away,
But when I fall asleep,
The nightmare’s haunting me instead.
ผมหวังว่าการนอนจะช่วยเอาความเศร้าไปจากผม
แต่ในตอนที่ผมกำลังหลับใหล ฝันร้ายได้ตามมาหลอกหลอนผมแทน
“เอ้า ชนเว้ยชน” ว่านยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนบนโต๊ะยกแก้วเหล้าขึ้นมา
“หมดแก้วไหมมึง” ยุทธว่า หันหน้ามองความเห็นของเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนชนแก้วกันดังแกร๊ง แต่ไม่มีใครทำตามที่ยุทธเรียกร้องสักคน
“หมดแก้วอะไร กูเพิ่งจะเติม” ว่านพูด ทำแค่เพียงดื่มเหล้าไม่กี่อึกเท่านั้น
“มึงจะรีบกันไปไหนวะไอ้ยุทธ ใจเย็นๆ ก็ได้” เฟิร์สบ่น
“กายไม่ต้องดื่มหมดแก้วนะ อย่าไปบ้าจี้ตามพวกมัน” ฟานก้มหน้าลงมากระซิบเพราะเสียงเพลงในร้านเหล้าค่อนข้างที่จะดัง
“อืม เราไม่ดื่มหมดแก้วหรอก” ผมบอกให้ฟานสบายใจ หนึ่งเพราะผมไม่ใช่คนคอแข็ง สองคือผมไม่ได้มีอารมณ์ที่อยากจะดื่มสักเท่าไหร่
คืนวันศุกร์ไม่ต่างอะไรกับคืนปล่อยผี หลังจากที่เรียนหนังสืออย่างเคร่งเครียดมาทั้งสัปดาห์ นักศึกษาหลายคนก็อยากที่จะปลดปล่อยด้วยการออกมาสังสรรค์ฟังเพลง หรือจะมาหาคู่เช็คเรตติ้งส่องสาวส่องหนุ่มก็แล้วแต่ทุกคนจะพึงพอใจ
ส่วนผม...ผมมาที่นี่เพราะฟาน
“มึงๆ ไอ้ว่านมึงดูนั่น ผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านอย่างเด็ดอ่ะ สวย ขาวจั๊วะ” ยุทธชี้ชวนให้ว่านมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่ง พวกผมก็มองกันทั้งโต๊ะ ก็สวยจริงอย่างที่มันว่า
“เห้ยๆ เขามองมาทางนี้ด้วยว่ะ”
“เราต้องใจตรงกันแน่ๆ เลยอ่ะงุ้ย”
“งุ้ยบ้านมึงสิ เขาไม่ได้มองมึงหรอก เขามองไอ้ฟาน” เฟิร์สตบหัวยุทธด้วยความหมั่นไส้ไปที ผมเกือบจะหลุดหัวเราะกับความบ้าๆ บอๆ ของเพื่อน ถ้าไม่ติดว่าคำพูดของเฟิร์สสะกิดหัวใจเข้าอย่างจัง จนต้องหันไปมองอีกรอบ
ผู้หญิงคนนั้นมองฟานจริงๆ ด้วย
ผมหันมามองปฏิกิริยาของฟาน เขามองผู้หญิงคนนั้นแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขามองไปทั่วร้าน มองไปยังเวทีที่มีนักดนตรีกำลังร้องเพลง แล้วหันมามองหน้าผม
“อะไร” เขาถาม ดีดนิ้วกับปลายจมูกของผมเบาๆ
“ทำไมฟานต้องหล่อ มีผู้หญิงมองฟานตั้งหลายคน” ผมพูดกับเขาเสียงงอน
“ฟานหล่อแล้วกายไม่ชอบเหรอ”
“ชอบ แต่ไม่ชอบให้คนอื่นมอง”
“ให้เขามองไปเถอะ ฟานเองก็ไม่ชอบเวลาที่ผู้ชายพวกนั้นมองกายเหมือนกัน” เขาพเยิดหน้าไปทางขวาที่มีกลุ่มผู้ชายเกือบสิบคนนั่งอยู่ ทั้งโต๊ะมีแต่ผู้ชายและพอผมหันไปมองก็เห็นสองสามคนที่มองจ้องผมอยู่
“แต่กายไม่สนใจใครหรอก กายรักฟานคนเดียว” ผมบอก มองจ้องตาคนรักเพราะอยากให้เขารู้ว่าผมจริงจัง
“ฟานก็รักกายคนเดียว” ฟานใช้หน้าผากแตะกับหน้าผากของผม
“อะแฮ่ม พวกมึงสองคนครับ นี่กลางร้านเหล้านะครับ มันใช่เวลามาสวีทกันไหม” ยุทธมันปามันฝรั่งทอดใส่ผมกับฟานที่สร้างโลกส่วนตัวกันอยู่สองคน
“กูละเบื่อพวกมึงสองคนจริงๆ จะทำให้พวกกูอิจฉาไปถึงไหนห๊ะ” ว่านก็ร่วมวงไปด้วย จะมีคนหนึ่งที่นั่งเงียบๆ มองมาแบบไม่ออกความคิดเห็นอะไร
ผมไม่อยากคิดไม่ดีกับเพื่อน แต่แววตาของเฟิร์สที่มองฟาน ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ใช่แค่เพื่อน ผมเป็นคนหนึ่งที่รักฟาน ผมดูออก
ผมแค่หวัง...หวังว่าเฟิร์สจะไม่ทำร้ายผม
เราเพิ่งรู้จักกันได้สองปี เฟิร์สถือเป็นเพื่อนที่ผมสนิทเพียงคนเดียวนับตั้งแต่มาเรียนที่เชียงใหม่ ผมคิดว่า...เฟิร์สจะไม่ทำร้ายผมไม่ว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับฟาน
แต่ถึงเฟิร์สจะทำ ก็คงไม่มีใครทำร้ายผมไปได้มากกว่าตัวผมอีกแล้ว
ยิ่งดึกบรรยากาศในร้านยิ่งสนุกสำหรับทุกคน ยกเว้นผม ผมพยายามที่จะสนุกและหัวเราะไปกับคนอื่น ผมพยายามทำตัวกลมกลืนไปกับเพื่อนและคนรัก พวกเขาควรสนุกกันมากกว่าที่จะมานั่งกังวลใจกับความผิดปกติของผม
ผมหาสาเหตุของความรู้สึกที่ดำดิ่งไม่ได้ ผมแค่ไม่สนุกกับอะไรก็ตามรอบตัว ผมคิดว่าผมอาจจะเครียดเรื่องเรียนมากเกินไป คล้ายกับว่าถ้าผมไม่สามารถเรียนให้ได้ดี ผมก็ไม่ควรมีความสุขกับเรื่องไร้สาระ
ผมนั่งทิ้งสายตาให้เวลาผ่านไป รอให้ถึงเวลากลับบ้าน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่มีอะไรให้ทำ นิ้วโป้งกดเข้าไปในเฟสบุ๊คโดยอัตโนมัติ เป็นการเคลื่อนไหวที่ร่างกายทำไปด้วยความเคยชิน ในเมื่อกดเข้ามาแล้วผมก็ไถลหน้าจอเพื่อดูความเป็นไปของคนในโลกโซเชียล
ในหน้าฟีดส่วนมากจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมและเพื่อนใหม่ที่มหาวิทยาลัย มีทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ผมเลื่อนหน้าฟีดไปเรื่อยจนกระทั่งเจอรูปภาพรูปหนึ่ง บุคคลในภาพทั้งสามคนคือผมที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
พ่อ แม่ และน้องชายของผม
ผมกดคลิกที่รูปนั้นด้วยใจที่เหม่อลอยและเจ็บปวด เมื่อเย็นผมกดโทรศัพท์โทรหาแม่ แต่ท่านไม่รับ มีเพียงข้อความที่ส่งกลับมาว่าท่านไม่ว่างรับสายผมเพราะกำลังติดงาน แต่ในรูปนี้...พวกเขาสามคนไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารโปรดของสตาร์ น้องชายของผม
รูปนี้ถูกโพสต์เมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว ก็น่าจะประมาณหกโมง เวลาไล่เลี่ยกับที่ผมโทรไปหาแม่ ข้อความที่สตาร์เขียนเอาไว้พร้อมกับรูปนั้นเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง
‘แค่บอกว่าอยากกินพ่อกับแม่ก็พามาเลย กินข้าวกับครอบครัวมีความสุขที่สุดแล้ว’
พวกเขาคงมีความสุขกันจริงๆ ทั้งสามคนยิ้มกว้างให้กล้อง กอดคอแนบแก้มติดกันแสดงถึงความใกล้ชิด ที่ตรงนั้นมันควรจะมีผมอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมถึงต้องอยู่ตรงนี้ที่นี่เพียงคนเดียว
ผมกดออกจากแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คแล้วกดดูบันทึกการโทรเข้าออก ผมหวังให้มันปรากฏสายโทรเข้าที่ผมอาจจะไม่ได้ยินหรือไม่ได้รับ หวังให้พวกท่านคิดถึงผมหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้วโทรกลับมาถามไถ่ว่าผมสบายดีไหม ลำบากตรงไหนหรือเปล่า แต่มันก็ไม่มีเลย
...ไม่มีสักสาย...
ถ้าผมไม่มาเรียนที่นี่...ผมก็ยังได้อยู่ตรงนั้นแล้วยิ้มมีความสุขไปกับพวกเขา
‘สกาย คิดไว้หรือยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน’
‘ผมอยากเรียนที่กรุงเทพครับแม่’
‘แค่ในกรุงเทพเหรอ’
‘ถ้าคะแนนสอบไม่ถึงกายขอเรียนเอกชนได้ไหมแม่’
‘แม่ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายนะลูก แต่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่มีค่า แม่อยากให้ลูกได้รับประสบการณ์ที่ดีจากมหาวิทยาลัยที่ดี’
‘แล้วแม่คิดว่ากายควรเรียนที่ไหนดีครับ ที่จริงในกรุงเทพมีสองมหาลัยที่คะแนนกายอาจจะไม่ถึง อีกสองที่ก็ไม่มีคณะที่กายอยากเรียน ที่เหลือก็ต้องไปเรียนต่างจังหวัด’
‘เรียนต่างจังหวัดก็ไม่ได้แย่นะลูก แม่เองก็จบจากมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่’
‘แม่อยากให้กายไปเรียนไกลๆ เหรอครับ’
‘กายโตแล้วนะลูก ลองออกไปเปิดหูเปิดตา ไปลองใช้ชีวิตดูดีไหม บางทีกายอาจจะชอบก็ได้’
‘แต่กายอยากอยู่บ้านกับพ่อกับแม่’
‘ถ้ากายอยากอยู่ กายก็ต้องสอบติดมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศให้ได้ แต่แม่จะไม่กดดันกายนะลูก ลองใส่ชื่อมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ติดไปด้วย อย่างน้อยถ้ากายสอบติดที่นั่น กายก็จะได้ไปอยู่บ้านของแม่ที่คุณตาเคยซื้อไว้ให้ ไปเรียนที่นั่นแม่ยังพอช่วยไกด์อะไรหลายๆ อย่างได้ กายไม่อยากไปเรียนที่เดียวกับที่แม่เคยเรียนเหรอลูก’
‘แม่อยากให้กายไปเรียนที่นั่นเหรอครับ’
‘แม่อยากให้กายได้รับสิ่งดีๆ เหมือนที่แม่เคยได้รับ’
‘ถ้าอย่างนั้นกายจะสอบให้ติดที่นั่นนะครับ’
บทสนทนาระหว่างผมกับแม่เมื่อสองปีที่แล้วผุดชัดขึ้นในความทรงจำ ผมไม่ได้อยากมาเรียนที่นี่ ผมอยากเรียนใกล้บ้าน แต่ผมไม่ใช่คนที่เรียนเก่งขนาดนั้น ที่เรียนได้ดีเพราะพยายามอย่างหนัก ต้องอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้เที่ยวเล่น เพียงเพราะอยากได้รับคำชมเวลาที่พ่อกับแม่เห็นสมุดพก แต่ต่อให้พยายามหนักแค่ไหนผมก็ไม่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้ สุดท้ายผมก็ต้องมาเรียนที่นี่...ที่เชียงใหม่
เรื่องดีเรื่องเดียวที่ผมได้รับจากที่นี่ก็คือฟาน
ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ดูเหมือนว่าผมจะค่อยๆ ห่างออกจากครอบครัว ห่างจนพ่อกับแม่อาจจะลืมไปแล้วว่าเราโทรคุยกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ผมอยากถามพวกท่านว่า...ไม่เป็นห่วงผมบ้างเลยเหรอ
“เป็นอะไร ไม่สนุกเหรอ”
“...”
“กายครับ ง่วงหรือเปล่า ทำไมนั่งเงียบๆ”
“ฟาน กายอยากกลับบ้าน” บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ บ้านที่มีพ่อกับแม่อยู่ที่นั่น
“อะไรกัน ปกติไม่หลังเที่ยงคืนไม่เคยร้องกลับเลยนะ ง่วงจริงๆ เหรอ”
“อืม” ผมตอบรับตัดบทไปให้มันจบๆ ฟานถึงได้ยอม
“โอเค ง่วงก็กลับ พวกมึงกูกับกายกลับก่อนนะ เมียกูง่วงแล้ว ส่วนนี่ค่าเหล้าของกูกับกาย” ฟานบอกกับเพื่อนๆ ในโต๊ะ ก่อนจะควักแบงก์พันส่งให้ยุทธ
“อะไรวะ ทำไมรีบกลับ”
“เด็กง่วง จะพากลับไปนอน”
“ให้มันนอนจริงๆ นะ ถ้าจะทำอะไรก็เอาให้เสร็จก่อนพวกกูกลับ ขี้เกียจนอนฟังให้ทรมานหัวใจ”
“เออ ไอ้สัด”
ผมไม่ได้สนใจฟังเลยว่าใครพูดว่าอะไร เคลียร์กับเพื่อนเสร็จฟานก็กอดคอผมเดินออกจากร้านเหล้า
เสียงเพลงจังหวะสนุกสนาน เสียงหัวเราะของผู้คนรอบตัวไม่ได้กระทบโสตประสาทของผมแม้แต่น้อย เสียงที่คนอื่นว่าดังกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วๆ ที่ดังกึกก้องสู้เสียงในหัวของผมไม่ได้แม้แต่น้อย
ไร้ค่า...ไม่มีตัวตน
กลับมาถึงบ้านผมไม่ได้นอนอย่างที่คิด ในหัวผมคิดแต่เรื่องครอบครัว ยามหลับตาภาพๆ นั้นก็จะฉายชัดอยู่ในหัว ภาพที่พ่อแม่ลูกกอดคอกันอย่างมีความสุข
ผมอยู่ตรงไหนในชีวิตพวกเขา
“ทำไมไม่นอน ไหนบอกว่าง่วง” ฟานชะโงกหน้ามาดูผม
“ฟาน” ผมเอียงหน้ามองเขา อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันเจ็บมันจุกไปหมดเมื่อคิดว่าผมเป็นส่วนเกินของโลกใบนี้ เพราะไม่ต้องการไม่ใช่เหรอถึงได้ส่งผมมาอยู่ไกลเกือบสุดขอบประเทศ
“จะอ้อนเอาอะไร” ฟานทิ้งตัวลงนอนกอดผมเอาไว้แล้วเริ่มคลอเคลียแบบที่ชอบทำ
“กอดหน่อยได้ไหม อยากให้ฟานกอด” ผมร้องขอสิ่งนั้นจากฟาน หนทางที่จะช่วยให้ผมเหนื่อยแล้วข่มตาหลับลงได้
ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว ผมอยากนอนหลับ ช่วยทำอะไรกับผมก็ได้ให้หมดแรงแล้วนอนหลับไปเสียที
แสงแดดสว่างจ้าเหลือเกิน ผมลงจากรถเอ่ยขอบคุณคนขับรถแล้วรีบเดินเข้าบ้าน แดดตอนบ่ายสี่ยังแรงมากจนแสบผิว
สิ่งที่ผมทำเป็นประจำหลังจากเลิกเรียนก็คือตรงกลับบ้าน เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ห้องนอนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะลงไปกินของว่างที่แม่บ้านทำเตรียมไว้ให้เหมือนทุกวัน ผมกับน้องชายเรียนคนละโรงเรียน โรงเรียนที่สตาร์เรียนไกลกว่าผมและสตาร์จะมีเรียนพิเศษตอนเย็นทุกวัน
ผมกำลังจะเดินลงบันไดไปหาของว่างกินในครัวแล้วจะได้ขึ้นมาทำการบ้าน แต่ขาของผมต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังออกมาจากห้องทำงานของคุณพ่อ
ปกติคุณพ่อกับคุณแม่ไม่กลับบ้านเวลานี้นี่นา
ผมเกือบจะปล่อยเลยตามเลยเพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัย หากว่าไม่มีคนพูดประโยคประโยคหนึ่งขึ้น
“นี่พวกเธอยังไม่บอกสกายอีกเหรอว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอน่ะ”
นั่น...ใช่ชื่อของผมใช่ไหม...สกาย
“ผมยังไม่ได้บอกเลย ยังหาจังหวะดีๆ บอกไม่ได้”
“ไม่บอกตอนนี้จะไปบอกตอนไหน ยิ่งโตยิ่งพูดยาก ถึงตอนนั้นจากไม้อ่อนกลายเป็นไม้แก่ เรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่”
“ไม่หรอกคะพี่นวล สกายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย”
“ใครจะไปรู้ พวกเธอควรบอกกับเด็กนั่นเองกับปาก หรือจะรอให้วันหนึ่งไปรู้ความจริงจากที่อื่นว่าพวกเธอเก็บเขามาเลี้ยง ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นปัญหากับหลานฉันขึ้นมาฉันก็ไม่ยอมนะ ฉันน่ะรักตาสตาร์ ฉันไม่ต้องการให้หลานฉันเจ็บปวดกับปัญหาที่พวกเธอก่อขึ้น”
“มันจะเป็นปัญหาได้ยังไงล่ะพี่ ทั้งสองคนก็คือลูกของผม”
“แต่แกจะรักลูกนอกไส้มากกว่าลูกในไส้ตัวเองไม่ได้ รู้ไหมว่าสตาร์มาร้องไห้กับฉันว่ายังไง ตอนที่รู้ว่าสกายไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง เด็กนั่นคิดไปว่าพวกเธอไม่อยากให้เขาเกิดมา ถึงได้ไปรับสกายมาเลี้ยง เพราะไม่อยากมีลูกเป็นของตัวเองถึงได้คิดจะเอาคนอื่นมาเป็นลูก”
“สตาร์คิดเลอะเทอะเกินไปแล้วพี่”
“เอ๊ะ ตานพนี่ ถ้าฉันเป็นสตาร์ฉันก็คิดว่าพวกเธอรักสกายมากกว่าเขา บอกแต่แรกแล้วว่าอย่าไปรับเด็กมาเลี้ยง สักวันลูกของพวกเธอก็จะมาเกิดแทน เป็นยังไงล่ะ เอามาเป็นตัวแทน สุดท้ายวันหนึ่งตัวจริงก็มา แล้วพวกเธอยังจะให้ลูกแท้ๆของพวกเธอเสียใจอีกเหรอ”
“พี่นวลอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยค่ะ เรื่องนี้หญิงกับพี่นพจะหาทางออกเอง ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางรักคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองหรอกคะ พี่นวลไม่ต้องเป็นห่วง แต่หญิงรบกวนพี่นวลว่าอย่าแสดงอาการอะไรให้สกายรู้หรือรู้สึกไม่ดีนะคะ ยังไงเขาก็เป็นลูก ถ้าจะผิดมันก็ผิดที่หญิงกับพี่นพเอง”
“เอาเถอะๆ ทำยังไงก็ได้อย่าให้หลานฉันต้องร้องไห้อีกเพราะคิดว่าพวกเธอจะสนใจไยดีเด็กคนนั้นมากกว่า และไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความจริงฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรสกายหรอกนะ เด็กมันก็เป็นเด็กดี แต่ถ้าเป็นปัญหาก็ต้องรีบจัดการ”
“ครับพี่”
ขาทั้งสองขาของผมค่อยๆ ก้าวถอยหลัง รู้ตัวอีกทีผมก็กลับเข้ามาอยู่ในห้อง น้ำตาไหลรินไร้เสียงสะอื้น ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง สองแขนกอดขาตัวเองเอาไว้ พยายามกัดปากไม่ให้มีเสียงร้องสะอื้นเล็ดลอดให้คนข้างนอกได้ยิน
“ไม่จริงใช่ไหม” บอกผมที่ว่าผมกำลังฝันไป
‘เธอยังไม่บอกสกายอีกเหรอว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอน่ะ’
ผมไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่เหรอ
ทำไมจะไม่ใช่ละ ในใบเกิดของผมก็เป็นชื่อของพ่อและแม่
ไม่จริง...ทุกคนต้องล้อผมเล่นแน่ๆ พวกเขาอาจจะพูดถึงคนอื่นก็ได้ ผมจะไม่ใช่ลูกพ่อกับแม่ได้ยังไง
“ฮึก ฮือ” ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น สองมือยกขึ้นปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงของคำพูดใจร้าย
‘ฉันบอกแต่แรกแล้วว่าอย่าไปรับเด็กมาเลี้ยง สักวันลูกของพวกเธอก็จะมาเกิดแทน เป็นยังไงล่ะ เอามาเป็นตัวแทน สุดท้ายวันหนึ่งตัวจริงก็มา’
อย่าพูด! หยุดพูดได้แล้ว ผมไม่ใช่ตัวแทนของใคร ผมคือสกาย เป็นลูกของพ่อนพกับแม่หญิง
“ฮึก ฮึก”
‘ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางรักคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองหรอกคะ’
ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้
พ่อกับแม่รักผม พวกท่านยังบอกว่ารักผมอยู่เลย
“ฮือ ผมไม่ใช่ตัวแทน ฮึก ผมมีพ่อมีแม่ พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าทำกับหนูแบบนี้”
“ฮืออออ ฮึก ไม่...อย่าพูด ฮือ”
“กาย สกาย เป็นอะไร”
“ฮึก”
“กายครับ ตื่นครับ อย่าร้อง สกาย ตื่น”
เฮือก!
ผมสะดุ้งตื่นตัวโยนเมื่อถูกปลุกขึ้นจากความฝัน แม้ว่าเปลือกตาของผมจะเปิดออกรับแสงในโลกของความเป็นจริง แต่ภาพตรงหน้ายังคงพร่ามัวเพราะหยาดน้ำตา ไม่สามารถดึงให้ผมออกจากความเศร้าที่ได้รับจากฝันร้าย
ฝันร้ายที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นจริง
“ชู่ว กายครับ ไม่ร้องนะ เป็นอะไรฝันร้ายเหรอ” ผมพยักหน้าตอบ ฟานเช็ดน้ำตาให้ผม สอดแขนรองใต้คอแล้วดึงผมเข้าไปกอด ผมพลิกตัวเข้าหาแล้วกอดฟานเอาไว้แน่น ร้องไห้อย่างหนักอยู่กับอกของคนรัก
“ฮือ” ผมฝังหน้าลงกับอกกว้าง กัดฟันแล้วร้องไห้สุดเสียง มือกำจิกเสื้อนอนของฟานแน่นด้วยกลัวว่าถ้าไม่จับเอาไว้ให้แน่นพอเขาจะหายไป
“ฝันร้ายมากเลยเหรอ โอ๋ๆ คนดีของฟาน ไม่มีอะไรแล้วนะ ตอนนี้ไม่มีฝันร้ายแล้วนะ”
ไม่จริง...ฝันร้ายมันยังอยู่ มันไม่เคยจากผมไปไหนเลยแม้แต่วันเดียว
ผมนอนร้องไห้อยู่กับอกฟานจนเหนื่อยแล้วหลับไปอีกครั้ง
รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เกือบจะเที่ยง ที่ข้างตัวว่างเปล่าไร้ซึ่งคนที่กอดปลอบกันจนเผลอหลับไป
ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดช่วงเช้า ทันทีที่ขาของผมก้าวเข้าไปในห้วงนิทรา ฝันร้ายก็คอยท่ายืนรอรับ ผมผวาตื่นให้หลุดออกจากฝันร้าย เสียงปลอบโยนดังอยู่ข้างหู ปลอบประโลมให้ร่างกายที่ตื่นตระหนกสงบลง
‘ฟานอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว นอนซะ’
ผมตกอยู่ในอาการนอนผวาอยู่หลายครั้งจนกระทั่งถึงขีดจำกัดของร่างกาย ถึงได้นอนหลับไปโดยไม่ฝันอะไรอีก
พูดถึงความฝัน...ความเศร้าก็ก่อตัวกินพื้นที่ไปทั่วทั้งอก มันขยายใหญ่ขึ้นจนผมแทบหายใจไม่ออก
ผมไม่ใช่ลูกของพ่อนพกับแม่หญิง ผมเป็นแค่เด็กที่ถูกพวกท่านเก็บมาเลี้ยง ผมบอกตัวเองว่ามันไม่จริง หลอกตัวเองว่าทุกคนโกหกผม ในใบเกิดของผมชื่อบิดามารดาก็เป็นชื่อพ่อนพกับแม่หญิง ไม่มีทางที่พวกท่านจะไม่ใช่พ่อแม่
แต่ความลับไม่มีในโลก ง่ายที่สุดที่จะรู้เรื่องนี้ก็คือกรุ๊ปเลือด พ่อกรุ๊ปเลือดโอ แม่บอกกับผมว่าแม่กรุ๊ปเอ สตาร์ก็กรุ๊ปเอ ส่วนผมกรุ๊ปโอเหมือนพ่อ มันควรต้องเป็นอย่างนั้นถ้าหากว่าความจริงแล้วกรุ๊ปเลือดของแม่ไม่ใช่กรุ๊ปเอ...แต่เป็นเอบี
แม่เอบี พ่อโอ ไม่มีทางที่ผมจะมีกรุ๊ปเลือดเป็นโอไปได้
แม่ปิดบังและโกหกผม...ผมรู้ว่าที่ท่านทำอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก ผมไม่ได้โกรธที่พวกท่านไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของผม กลับรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่เก็บเด็กอย่างผมมาเลี้ยง ทว่าผมก็ห้ามความเสียใจและความผิดหวังไม่ได้ ว่าที่ผมถูกทิ้งเพราะพ่อแม่จริงๆ ไม่ต้องการ
ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้พวกท่านก็ยังไม่บอกกับผมตรงๆ และผมเองก็ไม่กล้าที่จะถาม พยายามที่จะไม่คิดถึงมัน ทำเหมือนเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าผมเป็นลูกของพวกท่าน เป็นลูกจริงๆ ไม่ใช่ลูกนกลูกกาที่ไหน
ผมนอนลืมตาอยู่ในห้อง ปล่อยให้สมองที่แสนดื้อรั้นคิดถึงความทรงจำที่ผมพยายามจะฝังกลบ ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกไปล้างหน้า ไม่แม้แต่จะรู้สึกหิวข้าวทั้งๆ ที่นาฬิกาเดินมาจนถึงเวลาเที่ยงตรง ประตูห้องถูกเปิดออกจากคนที่ลุกหายไปตอนที่ผมนอนหลับ พอเห็นว่าผมตื่นแล้วฟานก็เดินตรงมานั่งบนเตียง
“ตื่นแล้วเหรอ ไปล้างหน้าอาบน้ำหน่อยนะ ฟานทำกับข้าวไว้ให้แล้ว” ฟานลูบแก้มผม เขาอ่อนโยนเสียจนผมกลัว กลัวว่าวันหนึ่งมันจะหายไป
ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปกินข้าวเที่ยง ในห้องนั่งเล่นมีแค่เฟิร์สที่นั่งเล่นเกมอยู่ ผมไม่เห็นว่านกับยุทธ แต่คาดว่าคงยังนอนแฮงค์อยู่ในห้อง เท่ากับว่าตอนที่ผมยังไม่ออกมา ฟานอยู่กับเฟิร์สสองคนที่ห้องนั่งเล่นอย่างนั้นเหรอ
พอคิดว่าเขาสองคนอยู่กันเพียงลำพัง ผมก็เผลอเม้มริมฝีปากแน่น
ผมไม่อยากคิดมาก บอกกับตัวเองว่าฟานรักผม และเฟิร์สก็คือเพื่อน เพื่อหวังให้ตัวเองสบายใจขึ้น แต่ความอึดอัดวูบวาบในอกนี่มันคืออะไร ทำยังไงถึงจะสลัดมันออกไปจากความรู้สึกได้
วันทั้งวันผมนอนเล่นอยู่กับฟานและเพื่อนๆ ในห้องนั่งเล่น พอพวกมันตื่นก็ชวนกันออกไปซื้อของมาทำสุกี้กินในบ้าน บอกว่าเมาค้างอยากกินอะไรร้อนๆ ซดน้ำคล่องคอ ผมทำกับข้าวไม่เป็น เลือกซื้อของก็ไม่เป็น ทำได้แค่ออกเงินแล้วนั่งรออยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน
ผมมองภาพที่ฟานและเฟิร์สช่วยกันเตรียมของอยู่ในครัว สองคนนั้นคุยเล่นกันแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข ยุทธกับฟานก็นั่งเล่นเกมกันสองคน พวกเขามีอะไรให้ทำในขณะที่ผมนั่งหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
เบื่อ...ชีวิตมันน่าเบื่อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่วันนั้น ก็ผ่านมาแล้ว...กี่วันนะ
สามวันหรือสี่วัน ผมจำไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่จำได้แม่นยำก็คือความทรมานจากการนอนไม่หลับ หรือต่อให้หลับฝันร้ายก็คอยตามมาหลอกหลอน
อ่านหนังสือก็อ่านไม่รู้เรื่อง จะนอนก็นอนไม่หลับ เสียงพูดคุยของคนอื่นในบ้านดังแว่วขึ้นเป็นระยะ ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องที่มืดสนิท อยากนอนหลับแต่มันหลับไม่ลง นอนพลิกไปพลิกมาจนหงุดหงิด
ผมอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากความเบื่อหน่าย แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรทั้งสิ้น
“ฟาน...” ผมลองเปล่งเสียงเรียกชื่อคนรัก มีเพียงริมฝีปากที่ขยับและลมจากปากที่พ่นออกมา แทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองด้วยซ้ำ
“ทำยังไงดี”
ทำยังไงผมถึงจะนอนหลับ
แกร๊ก!
แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาตามรอยแง้มของประตู เรือนร่างสูงเดินแทรกเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูอย่างเบามือ
“ฟาน” ผมเรียกเขา ฟานสะดุ้ง จากนั้นไฟในห้องก็สว่างจ้าจนแยงตา
“ฟานนึกว่ากายหลับแล้ว” เขาพูด
“กายนอนไม่หลับ” ผมบอกเสียงอ้อน อ้าแขนออกให้เขาเดินมากอด
“ไหนบอกว่าง่วงไง ทำไมนอนไม่หลับ”
“ไม่รู้” ผมส่ายหน้าอยู่กับอกของฟาน
“ทำไมเดี๋ยวนี้อ้อนเก่งจัง ปกติก็อ้อนเก่งอยู่แล้วนะเราน่ะ”
อ้อนเพราะอยากให้เขารัก อยากให้เขาสนใจแค่ผม
อ้อนเพราะ...กลัวว่าถ้าไม่ทำแล้วเขาจะลืมผมเข้าสักวัน
ผมดันตัวฟานให้นอนลง โน้มหน้าลงจูบปาก ร่างกายของเราสองคนคุ้นชินกันเป็นอย่างดี เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันแผ่วเบา เขาก็ตอบรับกลับมาอย่างแนบแน่นไม่มีสะดุด
ผมจัดท่าทางของตัวเองให้นั่งคร่อมทับกลางลำตัวของฟาน บดเบียดสะโพกปลุกเร้าให้ฟานมีอารมณ์ จนท่อนลำร้อนในกางเกงเริ่มขยายใหญ่แข็งตัว ดุนดันตอบรับก้นของผมที่ส่ายยั่วหนัก
มีแค่ฟานที่จะช่วยให้ผมนอนหลับได้ ขอแค่เขากอดผมจนเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ ร่างกายก็จะหยุดทำงานไปเอง รวมไปถึงสมองที่คอยแต่จะคิดอะไรให้ต้องทุกข์ทน
“อืม กายครับ ใจเย็นๆ” ฟานปรามเมื่อผมพยายามที่จะกดสะโพกกลืนกินอวัยวะเพศของเขาอย่างเร่งร้อน โดยไม่แม้แต่จะเตรียมพร้อมให้ตัวเอง
“ไม่เป็นไร กายไหว กายอยากเป็นของฟาน อยากให้ฟานรัก” ผมพูดอย่างเหม่อลอย แววตาของฟานที่มองจ้องผมไม่มีความพิศวาสในเรื่องทางเพศ เขามองมาด้วยความสงสัย
“กายเป็นอะไร ป่วยหรือเปล่า”
การเคลื่อนไหวของผมหยุดชะงักกับคำถามของฟาน
“ทำไมถามอย่างนั้น” ผมเบนหนีสายตาที่จับผิด
“ก็...ฟานสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ถึงเรียกร้องให้ฟานกอดบ่อยจัง”
“...!”
“จริงๆ ฟานก็ชอบนะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้กายต้องการมันมากเกินไป ฟานกลัวกายจะป่วย เอ่อ แบบมีความต้องการมากเกินกว่าปกติ ไปหาหมอหน่อยไหม”
“ไม่ ไม่ต้องหรอก กายไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแบบนั้น”
น่าอาย น่าอายที่สุด
มันแย่มากที่ผมทำให้เขาคิดว่าผมป่วยเป็นโรคติดเสพเซ็กส์ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่
หรือที่จริงแล้ว...เหตุผลที่ผมร้องขอให้ฟานกอดมันอาจจะน่ารังเกียจมากกว่าการที่ผมกลายเป็นคนติดเซ็กส์ นั่นคือผมใช้เขาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นออกจากความทุกข์ที่กัดกินจิตวิญญาณจนแทบไม่เหลือชิ้นดี โดยไม่ได้สนใจว่าเขาจะยินยอมหรือไม่
ผมมันน่ารังเกียจโดยแท้