ตอนที่ 5 เก็บซ่อน

3464 Words
Behind my smile is everything You’ll never understand. ภายใต้รอยยิ้มของผมคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และคุณไม่มีวันที่จะเข้าใจ ง่วง ความรู้สึกสั้นๆ ง่ายๆ ของผมในขณะนี้ ผมคงจะยิ้มอย่างดีใจหากว่าผมง่วงในเวลาที่ควรจะนอน ไม่ใช่ง่วงในขณะที่กำลังนั่งเรียนหนังสือ ทุกอย่างกลับตาลปัตร หลังจากที่ผมลืมตาตื่นในตอนเช้า ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอเพราะรู้สึกตัวตื่นตลอดทั้งคืน ทำให้ตอนกลางวันผมอยากจะนอนไม่อยากทำอะไร “สกาย มึงไหวไหมเนี่ย” เฟิร์สกระซิบถามเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นและอาจารย์ที่กำลังสอน เราเรียนในห้องเรียนเล็ก ไม่ได้เรียนเซคใหญ่ในหอประชุม ทำให้ไม่สะดวกหากจะคุยเล่น “กูง่วงว่ะ” “มึงง่วงอะไรหนักหนามาสามสี่วันแล้ว กลางคืนไม่หลับไม่นอน มึงก็ไม่น่าตามใจฟานขนาดนั้น” เฟิร์สบ่น คงเข้าใจว่าผมกับฟานมีอะไรกัน แต่ว่า...นับตั้งแต่วันนั้นที่เขาถามถึงความผิดปกติของผมแล้วคิดว่าผมอาจจะเป็นโรคเสพติดเซ็กส์ ผมก็ไม่ได้มีอะไรกับฟานอีก ผมจะแกล้งทำเป็นหลับก่อนเขาทุกครั้ง แม้ฟานจะสะกิด ผมก็นอนนิ่งเหมือนว่าไม่รู้สึกตัว จนเขาไม่กล้ารบกวน ผมทนไม่ได้ถ้าจะต้องดูแย่ในสายตาของเขา ผลที่ได้ก็คือผมนอนไม่หลับจนเกือบจะเช้า ได้งีบหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะต้องตื่น ทำให้ผมมักจะมานั่งง่วงในห้องเรียนเสมอในระยะสามสี่วันมานี้ “กูไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย กูนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” “นอนไม่หลับ?” เฟิร์สถามเสียงสูง มันมองสำรวจตัวผมว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ถ้ามองจากแค่ภายนอกเฟิร์สไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นอะไร แต่จะให้ผมอธิบายถึงสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่มันก็เป็นไปไม่ได้ ผมไม่รู้จะพูดยังไงให้คนอื่นเข้าใจ มันทรมานและมันว่างเปล่าจนสัมผัสตัวตนของมันไม่ได้เลย “อืม ทำไงให้นอนหลับบ้างวะ” ผมถาม เฟิร์สทำหน้าคิดอยู่สักพัก มันมองหน้าผมสลับกับจอโปรเจคเตอร์หน้าห้องเรียน “ปกติถ้านอนไม่หลับจริงๆ ก็ต้องไปหาหมอว่ะ ให้หมอจ่ายยานอนหลับให้ แต่ถ้าจะกินอย่างอื่นที่ช่วยให้หลับ ก็พวกยาแก้เมารถกับยาแก้แพ้อ่ะ ที่กินแล้วง่วงนอนเหมือนกัน” “ยาแก้เมารถกับยาแก้แพ้” ผมทวนชื่อยาพลางคิด ยาสองอย่างนี้ผมเคยกินอยู่ โดยเฉพาะยาแก้แพ้ เนื่องจากผมแพ้กุ้ง แต่ก็ไม่ได้กินบ่อยขนาดนั้น เพราะผมจะเลี่ยงไม่ทานอาหารที่มีกุ้งเสมอ ซึ่งบางครั้งกินแล้วก็ง่วงนอน บางครั้งก็ไม่รู้สึกอะไร ผมไม่รู้ว่ามันจะช่วยผมได้อย่างที่ผมต้องการหรือเปล่า “โอเค พักเบรกไปเข้าห้องน้ำได้ห้านาทีค่ะนักศึกษา” “ว่าแต่ทำไมมึงนอนไม่หลับวะ” สิ้นเสียงอาจารย์ประจำคลาส เฟิร์สก็วางปากกาแล้วหันมาคุยกับผม “ไม่รู้เหมือนกัน” ผมไม่ได้โกหก ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงนอนไม่หลับ “มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า” เฟิร์สมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง “ก็...เรื่องเรียนนั่นแหละ” ผมตอบ เฟิร์สพยักหน้าเล็กน้อยว่าเข้าใจ เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมจริงจังเรื่องเรียนมาก แต่มันไม่ใช่กับตอนนี้ ที่ผมจริงจังไม่ใช่เพราะผมรักเรียน แต่เพราะผมทำมันได้แย่จนรับไม่ได้ต่างหาก ยาบำรุงสมองไม่ช่วยอะไร ผมกินไปจนจะหมดกระปุกก็ยังไม่รู้สึกว่าสมองของตัวเองจะทำงานได้ดีขึ้น การบ้านแต่ละครั้งผมก็ทำผ่านไปอย่างยากลำบาก ยังไม่รวมรายงานอีกสองวิชาที่ผมยังเริ่มทำได้ไม่ถึงไหน ปัญหาเรื่องเรียนเริ่มทำให้ผมเหนื่อยมากขึ้นทุกวัน และมันเริ่มทำให้ผมไม่อยากมาเรียนหนังสือ “ไม่เข้าใจตรงไหนมึงก็ถามกู กูก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไร ความจริงมึงเรียนเก่งกว่ากูด้วยซ้ำนะสกาย” “ไม่หรอก ตอนนี้มึงอาจจะเรียนเก่งกว่ากูไปแล้วก็ได้” “มึงก็พูดไป” “ขอบใจนะมึง ไว้ถ้ากูไม่เข้าใจตรงไหนจะถามละกัน” “อืม มึงจะไปเข้าห้องน้ำไหม” มันถาม ก้มมองดูเวลาที่ใกล้จะครบห้านาทีตามที่อาจารย์บอก “ไม่อ่ะ มึงไปเถอะ” “เออ กูรีบไปก่อน เดี๋ยวหมดเวลา” เรียนจบคาบเช้า ผมกับเฟิร์สก็เดินไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกลาง ผมส่งข้อความนัดกับพวกฟานให้ไปเจอกันที่นั่น และเมื่อหนึ่งนาทีก่อนฟานเพิ่งจะไลน์มาบอกว่าจองโต๊ะเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงโต๊ะ ก็มีคนเดินมาทักผมเสียก่อน ผมที่เอาแต่มองจ้องหน้าฟานขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหาเลยต้องหยุดชะงัก “สกาย” “อ้าวพี่เจ็ท สวัสดีครับ” ผมทักพี่รหัสของตัวเอง “สวัสดีครับ พี่ไม่ค่อยได้เจอเราเลยอ่ะ ยังไม่ได้นัดเลี้ยงสายรหัสเลย” พี่เจ็ทพูดกับผมยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี ผิวสีแทนและสูงร้อยแปดสิบกว่า แต่เท่าไหร่ผมจำไม่ได้ ผมเคยถามแล้วตอนเข้าปีหนึ่ง แต่ว่า...คุณก็รู้ว่าสมองผมมีปัญหา บางอย่างที่เคยจำได้ผมก็หลงลืมไปอย่างไม่มีสาเหตุ “ผมยังไงก็ได้ แต่ผมนัดเลี้ยงน้องปีสองกับปีหนึ่งไปตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เฉลยสายรหัสแล้ว” ผมบอก ตอนนั้นผมก็เกือบจะลืม ดีที่น้องรหัสปีสองของผมมารบเร้าให้ผมพาไปเลี้ยง ผมก็เลยมีโอกาสพาไป ไม่อยากนั้นผมคงไม่ได้ทำหน้าที่พี่รหัสที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่เจ็ทไม่ใช่พี่รหัสที่ดีนะ ที่ผ่านมาพี่เขาเป็นพี่รหัสที่ดีมาโดยตลอด แต่คนที่ไม่ดีและหลงลืมคนรอบข้างไปก็คือผมคนนี้ต่างหาก หากว่าผมไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับฟานและเพื่อนอีกสามคน ผมก็อาจจะเหลือแค่ตัวคนเดียว “โอเคๆ งั้นเดี๋ยวหาวันว่างแล้วพี่ไลน์ไปบอก แล้วก็...พี่จะเอาชีทเรียนมาให้เราด้วย รับรองเราจะต้องดีใจจนอยากกอดพี่เลยล่ะ ชีทเรียนพี่นี่ถือว่าขั้นสุดแล้ว” ดวงตาของผมขยายออกกว้างด้วยความสนใจ ก่อนที่ความรู้สึกตื่นเต้นจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผมเป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองมีความหวังที่จะก้าวต่อไป ก็จะมีกรงเล็บดำมืดขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา มันบดขยี้ความหวังของผมจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี “ขอบคุณครับพี่เจ็ท” แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเอ่ยขอบคุณและพร้อมที่จะรับน้ำใจนั้นไว้ “ไว้พี่จะไลน์หานะ กวนเวลาเราไปหาข้าวกินหลายนาทีแล้ว” พี่เจ็ทยีหัวผมเหมือนเอ็นดูแล้วเดินยิ้มออกไปจากโรงอาหาร สัมผัสอุ่นวาบที่ศีรษะเกิดขึ้นและจางหายไปในเวลาต่อมา ผมมองแผ่นหลังของพี่รหัสจนหลับสายตา ก่อนจะหันกลับไปทางโต๊ะที่ฟานและเพื่อนนั่งอยู่ ผมไม่เห็นคนอื่น แต่ฟานยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วจ้องมาที่ผมเขม็ง ผมรู้ว่าฟานเป็นอะไร ตั้งแต่เราคบกันช่วงแรกๆ ฟานก็ไม่ค่อยชอบพี่รหัสของผม เขาบอกว่าพี่เจ็ทชอบผม ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าพี่เจ็ทชอบผมจริงไหม เขาไม่ได้แสดงออกขนาดนั้น แต่ไอ้เรื่องถึงเนื้อถึงตัว ผมว่ามันคงเป็นธรรมดาของผู้ชาย แต่ฟานไม่ค่อยชอบ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ไปสุงสิงกับพี่รหัสสักเท่าไหร่ เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกไม่พอใจ “คุยอะไรกัน” ฟานถามเสียงต่ำ ทำหน้านิ่งเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ “พี่เจ็ทเขามาถามเรื่องนัดเลี้ยงข้าวสายรหัสกับเรื่องชีทเรียนน่ะ” ผมบอก ถอดกระเป๋าสะพายข้างวางไว้บนโต๊ะ เกาะแขนฟานให้ลุกขึ้นเดินหาไปซื้อข้าวกิน “แล้วทำไมต้องให้มันลูบหัวด้วย” ฟานทำหน้าฮึดฮัดไม่ชอบใจ ผมยิ้มแล้วลูบแขนให้คนตัวสูงใจเย็นลง “พี่เขาก็เอ็นดูเราเป็นน้องแหละ ผ่านมาสองปีแล้วนะฟาน ถ้าพี่เขาจะคิดอะไรเขาคงแสดงให้เห็นแล้ว ตั้งแต่เปิดเทอมมาเพิ่งเจอพี่เขาครั้งนี้ครั้งที่สองเอง แถมเขาก็ไม่ได้ทักมาคุยอะไรด้วย” ผมเล่าอย่างไม่ปิดบัง ผมตัวติดอยู่กับฟานแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำไมฟานจะไม่รู้ว่าผมกับพี่เจ็ทไม่มีทางทำอะไรลับหลังเขา “เฮ้อ ฟานก็รู้แหละว่ามันไม่มีอะไร ทำไงได้ก็ฟานหวง” ฟานหันมาคุยกับผมซึ่งหน้า หลังจากที่เราเลือกที่จะต่อแถวที่ร้านขายข้าวมันไก่ “อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรในกอไผ่สักนิด” “ก็ลองให้มีอะไรในกอไผ่ดูสิ ฟานจะฟันก่อไผ่ให้ยับเลย” “ฮ่าๆๆ พูดไปนั่น” “หึหึ วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” ฟานกลับมาอารมณ์ดีแล้ว ผมค่อยโล่งใจหน่อย วันๆ แค่การพยายามเอ็นเตอร์เทนให้ตัวเองมีความสุขก็เหนื่อยล้าจะแย่ ถ้ายังต้องมาเอ็นเตอร์เทนคนรอบตัวเพิ่มอีกผมคงไม่ไหว “ก็ดี รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง” “ซะงั้น ไม่ตั้งใจเรียนล่ะสิเราน่ะ” “เปล่าสักหน่อย” ผมตั้งใจเรียน...แต่สมองผมมันไม่รับอะไรทั้งนั้น “ล้อเล่นน่า เอาเหมือนเดิมนะ ฟานสั่งให้ กายไปซื้อน้ำก่อนเลยก็ได้” “อืม เจอกันที่โต๊ะนะ” ผมเดินออกจากแถวร้านข้าวมันไก่ เดินไปซื้อน้ำก่อนจะกลับไปนั่งรอที่โต๊ะ เรานั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปเรียนในช่วงบ่าย ผมเลิกเรียนก่อนฟานหนึ่งชั่วโมง และเหมือนเดิมที่ว่าผมต้องไปรอฟานที่ใต้ตึกวิศวะ “มึงไปคนเดียวได้ไหม กูจะแวะไปหาเพื่อนที่หอในอ่ะ” “ได้ดิ” “อืม ไม่ต้องรอนะ กูกลับบ้านเอง” “โอเค เจอกันที่บ้าน” “เจอกันมึง” ผมแยกกับเฟิร์สที่ใต้ตึกเรียน ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่า ตอนนี้ค่อนข้างสะดวกที่ผมจะไปหาซื้อยา ผมไม่อยากบอกใครเพราะผมไม่รู้จะตอบคำถามพวกเขายังไง ว่าทำไมผมต้องใช้ยานอนหลับ ผมบอกแล้วไงว่ามันอธิบายยากกับสิ่งที่ผมเป็น ผมมาที่ร้านขายยาร้านเดิมที่เคยซื้ออาหารเสริม ผมละล้าละลังอยู่ชั่วครู่จนพี่เภสัชกรผู้ชายเดินเข้ามาถาม “หาอะไรอยู่เหรอครับ” พี่เขาถามอย่างนุ่มนวล เป็นน้ำเสียงที่เหมาะกับคนที่เรียนสายสุขภาพมา “เอ่อ...เอายาแก้เมารถครับ” ผมบอกเสียงเบา ไม่กล้าสบตาหมอ ผมกลัวทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร มันเหมือนกลัวถูกจับได้ว่ากำลังทำอะไรไม่ดี ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ผมแค่มาซื้อยาก็เท่านั้น ก็แค่ยาแก้เมารถ ยาธรรมดาที่ใครๆ ก็กินกัน “เอาแบบง่วงหรือไม่ง่วงครับ” เภสัชกรจ้องหน้าผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัวจนเริ่มสั่น ผมเหลือบสายตามองหน้าเภสัชกร ไม่ได้เตรียมใจมารับคำถามนี้ ผมเพิ่งจะรู้เมื่อวินาทีที่ผ่านมา ว่ายาทั้งสองอย่างที่ผมคิดว่ากินแล้วอาจจะง่วงนอนมันมีทั้งแบบง่วงและไม่ง่วง “ว่ายังไงครับ” เภสัชกรถามซ้ำ “แบบง่วงครับ” ผมอึกอักตอบ “แน่ใจนะครับ” คำถามง่ายๆ กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนให้จนมุม “ครับ” ผมต้องเป็นบ้าไปแล้ว ทำไมต้องรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะไปฆ่าคน ผมก็แค่อยากนอนหลับเต็มตาบ้างก็เท่านั้น แค่นั้นเองจริงๆ “มาซื้อยาแก้เมารถนี่ จะไปขึ้นเขาหรือครับ” ระหว่างคิดเงินพี่เภสัชกรก็ชวนผมคุย “ครับ เวลาขึ้นทางโค้งมันเวียนหัวครับ” ผมก็เออออไป “รับประทานยาหนึ่งเม็ดก่อนออกเดินทาง 30 นาทีนะครับ จะทานอีกครั้งต้องรอให้ครบ 4-6 ชั่วโมง ทานยาแล้วอาจทำให้ง่วงนอน ต้องระมัดระวังนะครับ” “ครับ” ผมรับถุงยามาแล้วหยิบเงินจ่าย พอได้เงินทอนผมก็รีบเดินออกจากร้านขายยาทันที ฟู่~ ผมเป่าลมออกจากปาก ยกมือขึ้นกุมบริเวณหัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บ ผมเปิดถุงยาดูอีกครั้ง มันก็แค่ยาแก้เมารถธรรมดา ผมยัดถุงยาใส่กระเป๋าสะพายข้าง แล้วรีบเดินไปที่ใต้ตึกวิศวะเพื่อไปรอคนที่ผมรักเลิกเรียน ผมมองเม็ดยาและแก้วน้ำในมือ หมอบอกว่าให้ทานหนึ่งเม็ด แต่ผมลังเลว่าจะทานสองเม็ดเลยดีไหม ผมไม่นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว มันทรมานมาก แต่ถ้าทานสองเม็ดเลยมันจะเป็นอะไรหรือเปล่า สุดท้ายผมก็เลือกที่จะเพิ่มจำนวนยา แล้วกินเข้าไปทั้งสองเม็ด ขอให้คืนนี้ผมนอนหลับ ขอให้ผมได้พักสักคืน...จะได้หรือเปล่า ทานยาเสร็จผมก็เดินไปนอนบนเตียง ห่มผ้าแล้วหลับตา เสียงหัวเราะพูดคุยของคนอื่นในบ้านดังแว่วอยู่ไกลๆ แต่ผมจำเสียงหัวเราะของฟานได้ดี “ดีจัง” ผมพึมพำกับตัวเอง รู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ข้างนอก อิจฉาแม้กระทั่งคนรักของตัวเองที่หัวเราะได้อย่างมีความสุข แล้วทำไมผมถึงต้องทุกข์ทนอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง หยดน้ำตาค่อยๆ รินไหลจากหางตาลากลงไปถึงขมับ ก่อนที่มันจะหายเข้าไปตามไรผม ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น จะมีก็แต่ร่องรอยของคราบน้ำตาที่มองเห็นได้เลือนราง พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วชีวิตผมจะดีขึ้นกว่าวันนี้หรือเปล่า ผมนอนรอคำตอบ สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือความเงียบงัน ผมหลับตาลงช้าๆ รอคอยเวลาให้ตัวเองได้หลับอย่างที่ใจต้องการ ไม่นานผมก็ไม่รับรู้สิ่งใดรอบตัวอีกเลย แม้แต่ความอบอุ่นของอ้อมกอดที่ผมหลงใหล ผมก็ไม่ทันได้สัมผัสมันยามที่ใครอีกคนทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง “ฝันดีหรือไงเด็กน้อย นอนหลับยิ้มเชียว จุ๊บ ฝันดีนะครับคนดีของฟาน” นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้ฝันดี ผมยิ้มอย่างมีความสุข สุขจนแทบไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเจอกับโลกแห่งความเป็นจริง เช้านี้ผมยังคงถูกปลุกด้วยนาฬิกาปลุกส่วนตัว ฟานเป็นคนปลุกผมในทุกๆเช้า เนื่องจากผมมักจะเพลียหลับเอาตอนใกล้ฟ้าสาง “ฟาน...ตื่นก่อนกายอีกแล้ว” ผมพูดเสียงแหบ “ก็มีเด็กนอนขี้เซา” ฟานบีบจมูกก่อนจะก้มหน้าลงมาฟัดแก้มผม เขาทำท่าจะเลื่อนหน้าเข้ามาจูบ แต่ผมเบี่ยงหน้าหนีได้ทัน “ยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ผมพูดเสียงอู้อี้ “ไม่เป็นไร ฟานไม่ถือ” “แต่กายถือ” “โอเค งั้นไปอาบน้ำกัน” ฟานไม่เซ้าซี้ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมให้ลุกตาม เรายืนแปรงฟันในห้องน้ำ ดวงตาสบประสานกันในกระจก ก่อนที่ฟานจะขยับมายืนซ้อนที่ด้านหลังแล้วโอบเอวผมไว้ ใช้แก้มแนบแก้ม ใช้ร่างกายของเขาแนบสนิทไปกับส่วนหลังของผม สิ่งที่ตื่นตัวในตอนเช้าดันทิ่มอยู่ที่สะโพก แสดงให้รู้ว่าเขามีอารมณ์ขนาดไหน “ไม่ได้กอดกายมาหลายคืนแล้วนะ คิดถึงจังเลย” ฟานกระซิบทั้งที่ปากยังมีฟองยาสีฟัน “อืม” ผมหลุดครางเมื่อถูกจมูกโด่งไซ้ข้างซอกหู จนแทบไม่มีสมาธิแปรงฟัน ต้องรีบทำให้เสร็จก่อนที่จะแปรงฟันไม่สะอาด เนื่องจากถูกคนตัวใหญ่กว่าสูบพลังงานจนสิ้นสติ “ฟาน แปรงฟันให้เสร็จก่อน” ผมบอกแล้วเบี่ยงตัวหนีอ้อมแขนที่เริ่มอยู่ไม่สุข ฟานจึงรีบหันไปแปรงฟันแล้วบ้วนปากจนเสร็จ คนตื่นตัวจับผมหันหน้าเข้าหา ดึงเสื้อยืดที่ผมใส่นอนออกจากตัว พร้อมกับรูดกางเกงขาสั้นออกจากเรียวขา แล้วกลับไปถอดเสื้อนอนของตัวเอง ฟานมองสำรวจร่างกายท่อนบนของผม แววตาคมเต็มไปด้วยความกระสันจนทำให้ผมร้อนวูบวาบ ฟานกดฝ่ามือตัวเองลงกับน้องชายของเขา ก่อนจะรูดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้าแล้วเขี่ยมันออกไปให้พ้นทาง “หมายความว่าให้ทำใช่ไหม” ฟานมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม คงเพราะทั้งเพิ่งจะตื่นนอนและมีอารมณ์อยากไปพร้อมๆ กัน “กายเคยห้ามเหรอ” ผมบอก ตั้งแต่คบกันและมีอะไรกันมา ผมไม่เคยห้ามเขาเลยสักครั้งถ้าเขาไม่ทำรุนแรงเกินไป จะมีก็แค่ก่อนหน้านี้ที่ผมเป็นฝ่ายเรียกร้องจากเขาเองจนฟานผิดสังเกตทักขึ้นมา “อืม กายไม่เคยห้ามเลย น่ารักที่สุด” “น่ารักแล้วรักกายไหม” “รักสิครับ” ฟานกดริมฝีปากจูบซับไปตามแก้มแล้วหยุดลงบนริมฝีปากของผม ผมอ้าปากรับลิ้นของฟานที่สอดแทรกเข้ามา กลิ่นยาสีฟันรสมิ้นต์เย็นซ่านไปทั่วปาก มืออุ่นร้อนลากตั้งแต่แผ่นหลังลงไปถึงสะโพก เขาบีบนวดมันเหมือนกำลังนวดแป้ง ทั้งบีบคลึงและขยำให้ก้อนเนื้อทั้งสองข้างแยกออกจากกัน เปิดโล่งตรงช่องทางที่เต้นตุบๆ ตามแรงอารมณ์ “จะรักกายตลอดไปไหม” ผมถามติดริมฝีปาก ฟานกระตุกยิ้มร้ายแล้วขบปากผมจะขึ้นรอยฟันแต่ไม่ถึงกับได้เลือด “จะรักตลอดไปเลย” “สัญญานะ” ผมยิ้มให้เขา ฟานยกยิ้มตามแล้วเกลี่ยนิ้วไปตามรูปปากที่ยกโค้ง เขาเคยบอกว่าชอบรอยยิ้มของผม แม้ว่าผมจะทำมันได้ยากเหลือเกิน แต่ก็อยากพยายามเพื่อให้ฟานเห็น เขาจะได้มีความสุข “อืม สัญญาครับ” ฟานอุ้มผมขึ้นนั่งบนอ่างล้างหน้า จับขาของผมให้อ้าออกและขยับแทรกตัวเข้ามา ฟานก้มมองที่ร่องรัก มันปิดสนิทเพราะไม่ได้ถูกรุกรานมาหลายวัน ฟานใช้นิ้วกดนวดให้ช่องทางนั้นผ่อนคลาย รวมถึงทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมพร้อมรับลูกชายของเขา “ฟานจะทำเบาๆ นะ อาจจะเจ็บ” ฟานบอกอย่างเป็นห่วง เขาหยิบเจลหล่อลื่นที่มีวางไว้ในห้องน้ำหนึ่งหลอดมาชโลมแก่นกายของตัวเอง รวมไปถึงใช้นิ้วของเขานำพาตัวช่วยเข้าเบิกทางขยับขยายร่องเนื้อให้เปิดกว้าง “ไม่เป็นไร ขอแค่ฟานไม่ทิ้งกายไปไหน แบบนั้นกายจะเจ็บที่สุด” ผมหลุดพูดออกไปด้วยความกลัว กลัวว่าวันหนึ่งฟานจะหมดรักคนที่ไม่มีอะไรอย่างผม “ฟานไม่ทิ้งกายหรอก ฟานไม่มีวันทำแบบนั้น” ฟานพูดพร้อมกับกดแท่งร้อนสอดเข้ามาในตัวเพื่อสอดประสานร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียว ผมเชิดหน้าครางผวากอดคอฟานไว้แน่น ตกเป็นของเขาอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ “กายรักฟานนะ รักที่สุด” “ฟานก็รักกายที่สุดครับ” เสียงบอกรักของฟานดังก้องในหู ผมระบายยิ้มบางๆ บอกกับตัวเองว่าให้จดจำความสุขตอนนี้ไว้ จดจำคำบอกรักของฟาน เก็บความรักของเราและความทรงจำดีๆ เอาไว้ ได้แต่บอกย้ำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งผมจะลืมว่าตัวเองเคยมีคนที่รักมากเพียงใด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD