ตอนที่ 2
เธอคือใคร…
แสงรำไรนวลตาที่สาดส่องลอดม่านบางๆ สีขาวสะอาดเข้ามาในห้อง ปลุกให้ร่างที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงกว้างเริ่มขยับกาย แพขนตางอนยาวกระพริบถี่เพื่อปรับสภาพให้คุ้นชินกับแสงสว่าง อมลรดาฝืนเปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้ง ก่อนกลอกตามองไปยังเพดานและโคมไฟแปลกตา สติที่ทยอยกลับคืนมาทำให้รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า…ที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอ
อาจจะเป็นเพราะความมึนงงหญิงสาวจึงใช้เวลาตั้งสติอยู่พักใหญ่ เนื่องจากไม่คุ้นชินกับสภาพโดยรอบเอาเสียเลย บรรยากาศและการตกแต่งห้อง รวมทั้งกลิ่นหอมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันช่างหอมแปลกๆ แต่ก็ชวนให้ลุ่มหลงในคราเดียวกัน
‘เกิดอะไรขึ้น!’
ร่างกลมกลึงพลิกตะแคงซ้ายขวาเพื่อทบทวนความทรงจำ ความปวดร้าวแล่นปราดไปทั่วศีรษะจนต้องสูดปากอย่างทรมาน หญิงสาวคิดว่าอาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไปอย่างบ้าคลั่งเมื่อคืนนี้ ทำราวกับว่ามันเป็นน้ำเปล่าก็ไม่ปาน และสำนึกสุดท้ายที่รับรู้คือมีชายหนุ่มสองคนเข้ามาทักทาย พูดคุยอะไรกันบ้างนั้นเธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความคออ่อนจึงหมดสติไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งมาปรากฏกายที่นี่ สถานที่อันไม่คุ้นชินและใครพามานั้นก็จำไม่ได้เช่นกัน
“ยายขอกวาดห้องสักครู่นะคะ” เสียงทักทายที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวเอี้ยวหน้าไปมอง เห็นผู้หญิงสูงอายุทว่าแลดูทะมัดทะแมง กำลังถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินเข้ามาด้านในโดยไม่ยอมสบตา ไม่แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ
ลมเย็นๆ โชยเอื่อยเข้ามาหยอกล้อผิวกายเพราะกระจกบานเลื่อนหลังห้องถูกเปิด อมลรดาก้มลงมองตัวเองก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในชุดที่สวมใส่เมื่อคืน เธออยู่ในชุดนอนบางๆ และโล่งสบาย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชุด ปัญหาคือใครเปลี่ยนให้เธอต่างหาก
เพียงเท่านี้ใจต้องหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อคิดไปถึงว่าใครกันที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ มือบางรีบกระชับผ้าห่มขึ้นมาปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่เธอก็รู้สึกอับอายขึ้นมาโดยพลัน
“ใคร…เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนูคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามคนที่กำลังสนใจอยู่แต่การทำความสะอาดห้อง ฝ่ายนั้นหันมายิ้มเจื่อนก่อนตอบกลับอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“คงจะเป็นคุณปรายเปลี่ยนให้จ้ะ”
‘คุณปราย! ปรายไหน!’
“คุณปรายคือใคร ผู้ชายหรือผู้หญิงคะ”
อีกฝ่ายทำหน้าแปลกๆ เสมือนเธอเป็นตัวประหลาด ซ้ำยังทำเหมือนกับว่าคำถามของเธอนั้นก็ประหลาดตามไปด้วย แววตาหลุกหลิกของอีกฝ่ายพร้อมกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ ทำให้อมลรดาหน้าเจื่อนลงไปทันที
อมลรดามองตามร่างท้วมไปอย่างงุนงง เพราะฝ่ายนั้นกำลังหอบตะกร้าที่มีเสื้อผ้าของเธอออกไปด้านนอกอย่างร้อนรน ราวกับว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง หญิงสาวมองตามไปอย่างไม่เข้าใจในพฤติกรรมแปลกๆ ของแม่บ้าน
“คนที่นี่แปลกจัง ถามอะไรก็ไม่ตอบ ซ้ำยังไม่ยอมสบตาเราอีก”
คิดพลางกุมศีรษะเพราะอาการปวดยังไม่จางหาย ความทรงจำย้อนกลับมาให้คิดถึงมันอีกครั้ง…การสิ้นอิสรภาพและความกตัญญู สองสิ่งที่มาคู่กันคือชนวนเหตุแห่งการตัดสินใจเมื่อคืน…ตัดสินใจผิดหรือถูกนั้นไม่อาจคาดเดาอนาคตได้เลย
“อีกแล้วเหรอยายจันทร์”
เพียงร่างท้วมถือตะกร้าเสื้อผ้าเดินผ่าน เสียงทักทายของคนคุ้นเคยได้ดังแทรกขึ้นทันที คนถูกถามหยุดเดินแล้วหันไปมองอีกฝ่ายตาเขียว แกวางตะกร้าผ้าลงแล้วเหลียวซ้ายแลขวาราวกลัวใครจะมาได้ยิน
“เงียบปากไปเลยตาหอม เรื่องของเจ้านายอย่าวิจารณ์ มีหน้าที่ทำสวนสวนก็ทำไป พูดมากจริงๆ”
“มีแต่แกนั่นแหละที่พูดมากยายจันทร์ ฉันแค่หมายถึงว่าคุณปรายพาใครมาซุกไว้อีกแล้วหรือยังไง”
คนพูดทำท่าถอดถอนใจราวมันคือปัญหาระดับชาติ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนที่ตนกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้นจะพาตัวเองขึ้นมาจากหลุมลึกอันแสนมืดมิดเสียที ซึ่งเรื่องนี้เขากับยายจันทร์รู้ดี เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ ซึ่งก็เหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“เฮ้อ…แกเห็นอะไรก็อย่างนั้นนั่นแหละ แต่แม่หนูคนนี้แปลกกว่าคนอื่นๆ เพราะทำเหมือนไม่รู้จักเจ้าของบ้านนี้น่ะสิ”
ยายนวลจันทร์ทำท่าครุ่นคิด เพราะแววตาของหญิงสาวคราวหลานที่เพิ่งปะหน้ากันมาช่างดูหม่นเศร้าผสานความใคร่รู้เอาไว้ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจอะไรมาก เพราะชาชินเสียแล้วกับการที่มีผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแวะเวียนมาที่นี่
“นั่นไง คนที่ให้ถามมาโน่นแล้ว แกอยากรู้อะไรก็ไปถามสิ ไม่ต้องมานั่งสงสัยหรอก”
ส่วนตาคำหอมรีบบุ้ยหน้าไปยังรถยนต์สีดำที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ บนเส้นทางวกเวียนคดเคี้ยวของสวนสวยตามความชอบส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ยายนวลจันทร์รีบคว้าตะกร้าผ้าเดินเลี่ยงไปหลังบ้าน เลิกสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่ค้างคาใจ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อไป
อมลรดาคว้าเสื้อคลุมที่แม่บ้านจัดไว้ให้มาสวมทับอีกชั้น ดวงตากลมโตกวาดมองออกไปด้านนอกเพื่อสำรวจบรรยากาศโดยรอบ ความร่มรื่นของพรรณไม้หลากหลายชนิด สายลมที่พัดโชยมาไม่ขาดสายรวมทั้งอุณหภูมิที่เย็นกำลังดี และทิวเขาทอดยาวอยู่เบื้องหน้าแต้มด้วยหมอกจางๆ ลอยอ้อยอิ่งหยอกล้อ สะกดให้คนมองพาร่างออกไปยืนที่ระเบียงหลังห้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน และพยายามสำรวจร่างกายตัวเองว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมบ้าง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดบุบสลา และถ้าหากเป็นอย่างที่คาดเดา เจ้าของบ้านหลังนี้น่าจะพาเธอออกมาจากผับก็เป็นได้ และถ้าเป็นดังที่ว่าเธอจึงมีความคิดที่อยากจะพบเจอเจ้าของบ้าน เพื่อขอบคุณในน้ำใจที่ช่วยเหลือกันเอาไว้
เท้าเรียวก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ด้วยไม่คุ้นชินกับบรรยากาศและรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในหัวใจเพราะตนคือคนแปลกหน้า เสียงพูดคุยที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ทำให้เธอเลือกที่จะเดินไปตามเสียงนั้นทันที
“อ๊ะ!”
หญิงสาวรีบผลุบร่างแอบอยู่ตรงหน้าห้องด้วยความตกใจ เมื่อสายตาสบเข้ากับชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน แต่เขาช่างดูมีเสน่ห์พาให้หัวใจสาวหวั่นไหวไม่น้อย บางทีเขาอาจเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คิดพลางเสียมารยาทแอบฟังว่าคนในห้องคุยอะไรกันบ้าง
“ป้าเตรียมชุดใหม่ไว้ให้แล้วค่ะ”
“อืม…”
อารชวินพยักหน้าขณะสายตายังคงสนใจอยู่กับเอกสารตรงหน้า นวลจันทร์จับจ้องซีกหน้าเจ้านายตัวเองอย่างอึดอัด เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อยดูเหมือนจะรู้ใจกันดี แต่กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายพยายามสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเข้าถึงความคิดที่แท้จริงของเขาได้
“แล้ว…จะให้ยายจัดอาหารขึ้นไป หรือว่าเธอจะลงมาทานกับคุณคะ”
“เธอตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วค่ะ”
“เหรอ…”
“เอ่อ…คุณปราย…”
“มีอะไรหรือเปล่ายายจันทร์”
อารชวินเหลือบตามองแสร้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีแสดงถึงความอึดอัดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มรู้ดีว่านวลจันทร์กำลังจะพูดเรื่องอะไร คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ อันแสนน่าเบื่อในความคิดของตน
“ผมจะไปดูเธอสักหน่อย”
‘เขาจะมาหาเรา!’
อมลรดาใจเต้นแรงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะปะหน้ากับอีกฝ่ายในตอนนี้ รู้ดีว่าใจกำลังประหม่ากับตัวตนของเขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะเป็นชายหนุ่มเสน่ห์เหลือร้าย ที่มาที่ไปว่าเหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ยังไม่แน่ชัด และด้วยความร้อนรนกลัวเขาจะจับได้ว่าเธอยืนแอบฟัง หญิงสาวจึงรีบผลุนผลันกลับขึ้นไปในห้องเดิมของตนอย่างเร็วที่สุด
ด้วยอารามรีบร้อนและไม่ทันระวังตัว ขาจึงพันกันเสียหลักหกล้มหน้าคะมำอยู่ตรงบันไดขั้นแรก ‘ปรายฟ้าเอ๊ย ซุ่มซ่ามที่สุด’
“อะ อ้าว!”
ประจวบเหมาะกับที่อารชวินเดินมาเห็นเข้าพอดี ชายหนุ่มปราดเข้ามาช่วยประคองพลางมองมาด้วยแววตาคล้ายเป็นคำถามไปพร้อมกัน อมลรดาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาเจ้าเสน่ห์ของคนตรงหน้า จึงทำได้แต่ก้มหน้างุดอย่างประหม่า แค่เพียงได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่โชยมาปะทะจมูก เธอก็เกิดอาการประหม่าอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมจนไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“อรุณสวัสดิ์ สาวน้อย”
“อะ…อรุณสวัสดิ์ ชะ…เช่นกันค่ะ”
“เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันยาว เพราะคุณไม่พกหลักฐานอะไรติดตัวมาเลย ผมอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร บ้านอยู่ไหน จะได้ให้คนไปส่ง”
‘บ้านเหรอ!’
คำว่าบ้าน ดั่งคำแสลงหูที่ทำเอาคนฟังนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ บ้านไม่เป็นบ้านสำหรับเธออีกต่อไป ปัญหาที่รุมเร้าทำให้เธอตัดสินใจเดินเข้าผับ หวังใช้น้ำเมาคลายความกลัดกลุ้มออกไปจากใจ และความที่ดื่มไปมากฤทธิ์ของมันทำให้ถึงกับเมามายไม่ได้สติ จนต้องมาอยู่ตรงนี้ อยู่กับชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม
“คุณชื่ออะไร ผมจะได้เรียกถูก”
อมลรดาดึงตัวเองขึ้นมาจากห้วงความคิด ที่จริงเธอไม่อยากกลับบ้านอีกต่อไป ไม่อยากมีตัวตนอยู่บนโลกแสนเอียงกะเท่เร่ใบนี้ด้วยซ้ำ หญิงสาวกำลังคิดว่าหากเธอทำตัวให้หายสาบสูญไปจากโลกใบนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
“ฉันเหรอ นั่นสิ ฉันเป็นใครกัน”
“หือ?”
“แล้วบ้านฉันอยู่ไหน”
“อ้าว?”
อารชวินถึงกับไปไม่เป็น เมื่อหญิงสาวตรงหน้าเอียงคอมองกลับมาด้วยแววตาที่พาให้ใจไหวหวั่น คำพูดที่บ่งบอกว่าจำตัวเองไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแทบกุมขมับ
‘นี่เราพาคนป่วยทางจิตเข้าบ้านมาหรือยังไง’
ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา เพราะเขายังคงไม่ปักใจเชื่อว่าเธอจะจำอะไรไม่ได้ขนาดนั้น
“เอาละ คุณคงเมามากสมองก็เลยเบลอทำให้จำอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นกลับขึ้นไปพักผ่อนต่อดีกว่ามั้ย ผมจะให้คนเตรียมอาหารขึ้นไปให้”
ฝ่ามือแกร่งแตะที่แผ่นหลังแบบบางพลางออกแรงดันเบาๆ เพื่อให้เดินกลับขึ้นไปด้านบน อารชวินปรายตามองหญิงสาวข้างกายพลางครุ่นคิดอย่างแปลกใจตัวเอง ที่ไม่อยากฉวยโอกาสกับเธอตั้งแต่เมื่อคืน หรืออาจเป็นเพราะเธออยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ และเขาไม่เคยบังคับฝืนใจใครมาก่อน หากทำก็ดูจะน่าอดสูเกินไปนัก ที่ผ่านมาแม้เขาจะเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น แต่พวกเธอเหล่านั้นต่างยินยอมพร้อมใจเองทั้งสิ้น ยอมที่จะเล่นกับไฟทั้งที่รู้ว่าเขาไม่คิดจะจริงใจกับใครสักคน…