ตอนที่ 3 ลูกนกหลงรัง

2622 Words
ตอนที่ 3 ลูกนกหลงรัง “คุณยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” อมลรดาส่ายหัวพลางเดินเลี่ยงไปหย่อนกายลงบนเตียงนอนที่ฝากร่างมาทั้งคืน การที่อีกฝ่ายมาเดินวนเวียนอยู่ในห้องทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย เพราะนี่คือบ้านของเขาและเขาจะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ “ดื่มนี่สิ ฤทธิ์ของมันจะช่วยให้หายมึนงงได้” ชายหนุ่มยื่นเครื่องดื่มซึ่งเป็นวิตามินหลายชนิดมาให้ เขาเพิ่งหยิบออกมาจากตู้เย็นแล้วรินใส่แก้วทรงยาว อมลรดารับมาถือเอาไว้แต่ไม่วายที่จะมองราวไม่ไว้วางใจ กลัวว่าเขาจะแอบใส่อะไรลงไป “ผมไม่ใส่อะไรลงไปหรอกน่ะ หากคิดจะทำอย่างนั้นป่านนี้คุณไม่เหลืออะไรแล้ว” ไม่พูดเปล่า เขาทำท่ามองสำรวจไปทั่วร่างกลมกลึง ทำให้คนถูกจับจ้องรีบวางแก้วเครื่องดื่มลงกับโต๊ะหัวเตียง ทำท่ากระชับเสื้อคลุมเข้าหากันเพราะไม่เคยต้องถูกจ้องมองแบบที่เขากำลังทำมาก่อน อดคิดไปถึงเมื่อคืนนี้ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เพียงเท่านั้นใบหน้าสวยถึงกับร้อนวูบเพราะชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว “แล้วใคร…เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันคะ” “ผมเอง” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉยทำเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คนฟังกลับไม่คิดเช่นนั้น เพียงรู้ว่าเป็นชายหนุ่มตรงหน้าที่ลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ใบหน้าก็เริ่มแดงซ่านด้วยความอับอาย “เสื้อผ้าของคุณทั้งคับแล้วก็ดูอึดอัด ผมเลยเปลี่ยนจะได้นอนสบายตัว” ‘โธ่ หมดกัน’ หญิงสาวครวญอยู่ในใจ สักพักต้องตกใจรีบขยับหนีเมื่อเขาหย่อนกายนั่งลงข้างๆ แต่ยังช้ากว่ามือว่องไวของเขาที่รีบจับข้อมือเล็กเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอหนีไปไหนไกล “เอาละ คิดออกหรือยัง ชื่อของคุณน่ะ” “แล้ว…คุณเป็นใครคะ ชื่ออะไรฉันยังไม่รู้จักคุณสักนิด” “ผมถามคุณก่อน ไม่ใช่ให้คุณมาย้อนถามกันแบบนี้” “ฉัน…ฉันจำไม่ได้จริงๆ” แววตายาวรีจับจ้องเสี้ยวหน้าคมคร้ามอย่างขอความเห็นใจ ด้วยยามนี้ยังคงมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่อยากกลับบ้าน มีเหตุผลร้อยแปดที่อยากทำตัวให้หายสาบสูญไปสักพัก การที่เธอจะขออยู่ที่นี่เพื่อตั้งหลักคิดหาทางออกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดยามนี้ และการแกล้งทำเป็นจำอะไรไม่ได้เขาอาจจะเห็นใจเธอขึ้นมาบ้างยอมให้เธออยู่ต่อก็เป็นได้ “ผมไม่มีเวลามาเล่นอะไรกับใครนะ มันไม่สนุกเลยรู้มั้ยหากผู้หญิงที่เก็บได้จากผับจะกลายมาเป็นคนสมองเสื่อม จำบ้านช่องตัวเองไม่ได้เช่นนี้” “ฉันกำลังพยายามนึกอยู่นี่คะ แต่ว่ามันจำไม่ได้จริงๆ หากไม่เป็นการใจร้ายเกินไปก็อย่าพาฉันไปส่งตำรวจได้มั้ย เพราะฉันคงให้ข้อมูลกับตำรวจไม่ได้แน่ นะๆ ฉันขอร้อง” อมลรดาพยายามงัดทุกกลยุทธ์ออกมาใช้เพื่อออดอ้อน เขาจะคิดว่าเธอหน้าด้านก็ช่าง แต่ยามนี้เธอไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป คิดขณะสบสายตาชวนให้ใจละลาย เพื่อหวังให้เขาเห็นใจลูกนกหลงรังเช่นเธอ เพียงเห็นแววตาเว้าวอนชวนให้สงสาร หัวใจของอารชวินเริ่มปั่นป่วน เธอคงไม่รู้ว่ากำลังอ้อนวอนผิดคน เขาเคยเห็นใจผู้หญิงเสียที่ไหนกัน หากจะให้เขาเห็นใจก็ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนบ้าง เพราะเขาไม่เคยทำอะไรให้ผู้หญิงคนไหนฟรีๆ อยู่แล้ว “คุณเคยเห็นนกที่กำลังปีกหักไหม มันเจ็บและหมดแรงที่จะบินต่อไป มันต้องการแค่ที่พักพิงสักแห่งที่ปลอดภัย เพื่อตั้งหลักรับมือกับวันใหม่ที่ยังไม่รู้ทิศทาง ฉันคงไม่ต่างอะไรกับนกปีกหัก ที่บินหลงทางเข้ามาในถิ่นของคุณ” เพียงความเลวร้ายวิ่งผ่านมายังห้วงคำนึงหญิงสาวก็น้ำตาซึม การตกอยู่ในสถานะอับจนหนทางไร้ที่พึ่งพิง ช่างเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยพานพบมา เสียงถอดถอนใจเบาๆ คล้ายกลัดกลุ้ม เขาไม่ชอบไม้ตายแบบนี้เลยสักนิด แววตาของหญิงสาวแปลกหน้ากำลังเขย่าหัวใจแสนด้านชาให้หวั่นไหวอย่างไม่เคยเป็น แววตาเธอแลดูหม่นเศร้าคล้ายคนมีความทุกข์สุมอยู่ในใจ อารชวิน พยายามสลัดความสงสารออกไปจากหัวใจด้านชา “หากที่นี่ไม่ใช่ที่พักพิงอันแสนอบอุ่นอย่างที่คุณคิด คุณยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปมั้ย หากผมไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่คุณกำลังมองเห็น คุณจะทำเช่นไรถ้าความจริงเป็นในสิ่งที่ตรงกันข้าม” “ฉันเชื่อว่าคุณเป็นคนดี คุณคงไม่ซ้ำเติมนกปีกหักใช่มั้ยคะ” หญิงสาวยิ้มพราวขณะกอดท่อนแขนแข็งแรงเอาไว้จนแน่น ก่อนซุกซบใบหน้าตามลงไป “คุณมั่นใจกับชายแปลกหน้าขนาดนี้เชียวเหรอ” “ใช่ หากคุณไม่ใช่คนดี คุณคงฉวยโอกาสกับฉันไปแล้ว” หญิงสาวเชื่อเช่นนั้น การที่เขาไม่ล่วงเกินกันทั้งที่มีโอกาส ทำให้ยามนี้ความเชื่อมั่นและศรัทธาก่อกำเนิดขึ้นภายในใจอันบอบช้ำ มากพอจนทำให้กล้าที่จะอ้อนวอนเพื่อขออยู่ต่อ ทั้งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเขามองเธอเป็นคนแบบไหน แต่ก็ยังดีกว่าการกลับบ้าน หญิงสาวคิดพลางเชื่อว่าคนที่นี่เป็นมิตร และเธอก็ชอบบรรยากาศที่นี่ อยากกักขังตัวเองเอาไว้ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาสักพัก เผื่อความเงียบไร้แสงสีเสียงอาจช่วยให้มองเห็นหนทางข้างหน้า ทางที่เธอจะต้องก้าวเดินต่อไป “ให้ฉันทำอะไรก็ได้ เป็นแม่บ้านก็ได้นะ ไม่ต้องให้ค่าตอบแทนก็ได้ บางทีการอยู่ต่อที่นี่สักพักอาจทำให้ฉันนึกออกว่าตัวเองคือใคร ฉันจะไม่ทำให้คุณต้องรำคาญหรือลำบากใจ นะๆ” “..…” “นะคะ…” “เฮ้อ…เอาเถอะ หากอยากอยู่ต่อก็ได้ แต่ระหว่างนี้ผมจะไปสืบหากับตำรวจเอง เผื่อทางบ้านของคุณอาจกำลังออกตามหากันให้วุ่นอยู่ก็เป็นได้” “นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าคุณเป็นคนดี ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลือกันไว้ แล้วฉันจะไม่ลืมบุญคุณของคุณ…สัญญา…” ภายในใจของอารชวินยิ้มหยัน เขานี่นะคนดี เขาไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอแค่ยังไม่เห็นด้านมืดของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มคิดพลางส่งยิ้มปร่าแปร่งไปให้คนข้างกาย “คุณอาบน้ำหรือยัง ถ้ายังก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปหาผมข้างล่าง เร็วๆ ด้วยนะเพราะผมไม่ชอบคอยอะไรนานๆ” “คุณจะพาฉันไปไหนคะ” “เอาเถอะ ผมมีงานต้องทำอีกมากมาย อย่าช้านะผมหิวแล้ว” ชายหนุ่มออกคำสั่งจะพาตัวเองออกไปนอกห้อง ด้วยไม่ไว้วางใจตัวเองสักเท่าไหร่นัก หากเป็นอารชวินที่แท้จริงเขาคงไม่ปล่อยให้ของหวานหลุดมือ แต่เป็นเพราะเขาไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของเธอ ถ้ามีความสัมพันธ์กันขึ้นมาความซวยอาจมาเยือนโดยไม่คาดคิด การที่เธอบอกว่าเขาคือคนดีมันช่างสะดุดใจจนคำๆ นั้นวนเวียนอยู่ในหัวสมอง เธอคือคนแรกที่ทำให้เขาต้องย้อนมองดูตัวเองเสียใหม่ ว่าแท้จริงเขานั้นดีหรือเลว ‘ผมคือคนดีหรอกเรอะ ไม่หรอก ความเลวของผมยังไม่ปรากฏให้คุณเห็นต่างหาก…’ อมลรดาสวมเดรสสั้นสีขาวที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ชั้นในชุดใหม่ก็ช่างพอเหมาะพอเจาะราวกับรู้ว่าเธอใส่ไซส์อะไร หลังจากแต่งตัวเสร็จจึงรีบเดินลงมาหาอารชวินตามที่เขาออกคำสั่งเอาไว้ นึกแปลกใจเล็กน้อยว่าเหตุใดที่บ้านหลังนี้จึงมีเสื้อผ้าของผู้หญิงเตรียมไว้พร้อมสรรพ เพราะยังไม่เห็นใครนอกจากเขาและแม่บ้านเท่านั้น เธอกำลังคิดไปว่าเขาอาจมีน้องสาว เสื้อผ้าพวกนี้อาจจะเป็นของน้องสาวเขาก็เป็นได้ ‘หรือเขามีเจ้าของอยู่แล้วนะ’ ความคิดหนึ่งแทรกขึ้นมา เธอคิดไปว่าหน้าตาและฐานะแบบเขาคงไม่ครองโสดมาจนถึงทุกวันนี้แน่ ไม่แน่ว่าเสื้อผ้าพวกนี้อาจเป็นของภรรยาเขาก็เป็นได้ อมลรดาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะเดินสำรวจไปรอบบ้าน เพื่อมองหาคนที่บอกว่าจะมารอเธอข้างล่าง แต่ลงมาแล้วกลับไม่เห็นแม้เงา “ไปไหนเสียล่ะ แล้วก็เร่งให้เรารีบลงมา” หญิงสาวบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ขณะเดินออกไปยังหน้าบ้าน ไอเย็นที่อบอวลอยู่รอบกายทำให้เจ้าตัวถึงกับห่อไหล่เข้าหากัน “อุ๊ย!” ร่างอิ่มเซเสียหลักเมื่อหันหลังกลับไปชนกับร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยังดีที่ได้ท่อนแขนแข็งแรงโอบประคองเอาไว้ได้ทัน หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังออกแรงรัดแน่นมากยิ่งขึ้น จนต้องยกสองมือขึ้นมายันแผงอกกว้างเอาไว้ เพื่อคืนอิสรภาพให้กับตัวเอง “ขะ…ขอบคุณนะคะ คุณ…ปล่อยได้แล้วมั้งคะ” “คุณมัวมากินลมชมวิวอะไรข้างนอก ผมนั่งรอทานข้าวอยู่นานแล้ว นานเสียจนโมโหหิว หากหิวมากๆ ผมสามารถกินอย่างอื่นแทนข้าวได้เลยนะรู้มั้ย” “คุณเป็นแวมไพร์หรือคะ ที่จะกินอย่างอื่นได้นอกจากอาหารของมนุษย์” หญิงสาวเอ่ยแซวพลางหัวเราะออกมา รอยยิ้มสดใสราวสายน้ำที่เข้ามา หล่อเลี้ยงความแห้งแล้งและหยาบกระด้างภายในใจของคนมองได้อย่างน่าแปลก หัวใจหนุ่มเต้นแรงเมื่อยามแนบชิดร่างนุ่มนิ่ม แววตาแลดูไร้เดียงสาของเธอกำลังเขย่าหัวใจให้สั่นไหวและทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด “ผมเป็นยิ่งกว่าแวมไพร์เสียอีก หากใกล้ชิดกันมากๆ คุณจะรู้เอง” “จริงๆ คุณก็ดูมีอารมณ์ขันดีนะคะ” หญิงสาวโคลงศีรษะมองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนส่งยิ้มให้กันจนตาหยี อารชวินรีบเสมองไปทางอื่น เพื่อปกปิดความผิดปรกติที่กำลังฉายออกมาทางสีหน้าและแววตา อันมาจากคำพูดของเธอเมื่อสักครู่นี้ “ผมน่ะเหรอ…ไม่หรอก ผมไม่เคยรู้จักเสียงหัวเราะมาตลอดทั้งชีวิต…รีบเข้าไปข้างในเถอะ ผมหิวมากๆ แล้ว” ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับแล้วก้าวเดินฉับๆ หนีเข้าไปด้านใน ปล่อยให้อมลรดายืนนิ่งมองตามไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาเปลี่ยนท่าทีปุบปับวันละหลายหนจนเธอเองตามแทบไม่ทัน แม้จะงุนงงแต่ก็ต้องรีบสาวเท้าตามเข้าไปด้านใน ด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าของบ้านนั่งรอเป็นรอบที่สอง “คุณทำงานอะไร แล้วอยู่คนเดียวเหรอคะ” อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ก่อนปรายตามองมายังคนร่วมโต๊ะราวไม่พอใจ เจ้าของคำถามรีบหลุบตาหนีเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังใช้สายตาตำหนิเธอ “ผมจำเป็นต้องรายงานคุณด้วยเหรอ…ว่าทำมาหากินอะไร” “ฉะ ฉันก็แค่อยากรู้จักคนที่ช่วยเหลือเอาไว้ ทำไมต้องดุด้วยเล่า” “ในเมื่อคุณยังจำตัวเองไม่ได้ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะทีนี้” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าเสียลงไป รู้สึกไม่ดีที่ตัวเองก็ทำน้ำเสียงดุใส่เธอไปก่อน ทั้งที่คำถามนั้นก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก “เรียกว่าปราย…เอ่อ…” หญิงสาวยิ้มเฝื่อนมือไม้เงอะงะขึ้นมาในทันใด เมื่อเธอลืมตัวเกือบเผยชื่อตัวเองให้เขาได้รับรู้ ขณะอารชวินหรี่ตามองอย่างสงสัยเพราะหญิงสาวตรงหน้าชอบแสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาให้เห็น “ยายจันทร์ให้คุณกินอะไรเข้าไปหรือเปล่า ท่าทีคุณดูหลุกหลิกพิกล เหมือนไม่น่าไว้วางใจ” “ที่ฉันหลุกหลิกเพราะตามคุณไม่ทันต่างหาก คนอะไรเดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวทำหน้ายักษ์” “ในเมื่อคุณหลงมา ผมก็จะเรียกคุณว่ากวางก็แล้วกัน” ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย จัดการตั้งชื่อใหม่ให้เสียเสร็จสรรพ ขณะที่อมลรดาต้องขมวดคิ้วด้วยความงุนงงอีกครั้ง “ฉันไม่เข้าใจ หลงมาแล้วเกี่ยวอะไรกับกวางด้วย” “ช่างเข้าใจอะไรยากเสียจริง คุณเองก็ไม่ต่างอะไรจากกวางหลงฝูง หลงเข้ามาในถิ่นเสือถิ่นสิงโตจนเกือบถูกจับกินเป็นอาหาร กวางน้อยที่กระดูกกำลังอ่อนน่าขย้ำ โชคดีที่คุณมาเจอสิงโตจำศีล ก็เลยรอดตัวไป” คนพูดหัวเราะเบาๆ ราวขบขันถ้อยคำตัวเอง ขณะอมลรดาหน้าแดงซ่านลามไปจนถึงใบหู อันมาจากการที่เขาบอกว่าเธอเป็นกวางน้อยน่าขย้ำ ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเธอพอจะเข้าใจดี “แต่ฉันไม่ชอบชื่อนี้ เรียกฉันว่าเดียร์ดีกว่า เดียร์ที่แปลว่ากวางไง เหมือนๆ กัน ใช้แทนกันได้” “ก็ได้…เดียร์…มายเดียร์…” “คนละเดียร์แล้ว ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณนะ” หญิงสาวประท้วง เมื่อเขาล้อเลียนกันด้วยรอยยิ้มและแววตาอ่อนเชื่อมชวนฝัน ราวกับเขาและเธอคือคนรักกัน “อ้าวเหรอ ผมเผลอพูดอะไรออกไป” อารชวินยิ้มกว้าง พร้อมๆ กับที่อมลรดาผสานเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ บรรยากาศเริ่มคลายความอึดอัดลงไปบ้าง เมื่อรู้สึกว่าเขาและเธอเริ่มจะคุยกันถูกคอมากขึ้น ความมีเสน่ห์น่ารักของหญิงสาวแปลกหน้า ทำให้อารชวินลืมสิ่งที่เคยบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าผู้หญิงทุกคนคือศัตรูหมายเลขหนึ่ง การทำร้ายพวกเธอโดยการใช้ความรักมาเป็นเครื่องมือ จะช่วยให้เขาลืมความเจ็บปวดในอดีตได้ “หากคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม ผมจะหาเวลาพาออกไปซื้อก็แล้วกัน เผื่อบางทีการออกไปพบปะกับโลกภายนอก อาจจะช่วยทำให้คุณนึกอะไรได้บ้าง คุณคงเข้าใจนะว่าผมยังไม่อยากถูกตำรวจจับข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ป่านนี้ที่บ้านของคุณอาจกำลังแจ้งข้อหาลักพาตัวอยู่ก็เป็นได้” “ไม่หรอก…ไม่มีใครอยากตามหาฉันหรอก” “คุณมีปัญหาอะไรไหนลองบอกผมมาสิ เผื่อผมจะช่วยคุณได้นะ” “ปะ…เปล่า ฉันก็พูดไปอย่างนั้น ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าพ่อแม่คือใคร” “เฮ้อ…” อารชวินถอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เขาสังเกตเห็นความผิดปรกติที่ฉายอยู่ในแววตาคู่สวย เหมือนจะไหววูบลงไปเมื่อยามพูดถึงครอบครัว ก่อนที่เจ้าตัวจะปรับให้กลับมาสดใสดังเดิม แผงคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างค้นหาคำตอบ ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD