ตอนที่ 1 คลื่นชีวิต (1)

1828 Words
ฝูงหมาเจ้าถิ่นเริ่มส่งเสียงร้องครางอีกครั้งเมื่อเห็นร่างที่แสนคุ้นตาเดินเข้ามาในซอยท่ามกลางความมืด เกศรินทร์กลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบเที่ยงคืนเป็นประจำทุกวันที่ต้องทำงานในผับ ค่อย ๆ เปิดปิดประตูบ้านให้เบามือที่สุดเพราะเกรงว่ากชกรจะได้ยินเสียงโดยที่ไม่ลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมกลับมาเป็นชุดเดิม สายฝนที่สาดเทลงมาอย่างหนักทำให้หลังคากระเบื้องสีหม่นซึ่งแตกเป็นรอยยาวมีน้ำไหลซึมเข้ามาด้านในจนต้องเอากะละมังใบใหญ่มารองรับไว้ ทันทีที่หญิงสาวเดินเข้ามาถึงในบ้าน ร่างที่กำลังง่วนอยู่กับกองใบตองจึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เหมือนเช่นทุกครั้ง “กลับดึกทุกวันเลย ที่ร้านยุ่งมากเลยเหรอลูก” “แม่...” เกศรินทร์ชะงักกึก รีบเหวี่ยงกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายไว้ได้หลังไปเก็บไว้บนตู้เสื้อผ้าแทบไม่ทัน “ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ” “พอดีป้าอิ่มแกได้ปลามาน่ะ แม่เลยจะทำห่อหมกจะเอาไปฝากแกด้วยที่เหลือจะเอาไปขาย” “งั้นแม่ไปนอนเถอะ เดี๋ยวหนูทำเอง” เกศรินทร์ขันอาสาก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนพื้นไม้กระดานผุ ๆ บนบ้าน ทว่ากลับถูกมารดาเอ็ดเอาเสียชุดใหญ่ “ไม่ต้องเลย กลับมาเนื้อตัวเปียกปอนเหมือนลูกหมาแบบนี้ รีบไปอาบน้ำล้างหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เดี๋ยวจะไม่สบายเอาอีก” “ก็หนูอยากช่วยแม่นี่คะ” “ไปอาบน้ำเถอะ เนี่ยก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ว่าแต่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ” สายตาห่วงใยถ่ายทอดออกไปจนเกศรินทร์อดรู้สึกผิดเสียไม่ได้ที่ต้องปิดบังผู้เป็นแม่เรื่องงานในผับ “กินมาจากบ้านลุงจรแล้วจ่ะ” “งั้นก็ไปพักผ่อน แม่ก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาอย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปเช็ดใบตองตรงหน้าต่อ “ถ้าเกิดหนูได้ทำงานประจำ แม่ก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้” “ไม่เอาน่า อย่าคิดมากสิ ทุกวันนี้แม่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเสียหน่อย” “พรุ่งนี้หนูจะลองออกไปหางานทำดู เผื่อได้ทำงานบริษัทเล็ก ๆ จะได้หาเงินมาช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านดีไหมแม่” เกศรินทร์เสนอขึ้นแม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอออกตระเวนหางานแล้วต้องพบกับความผิดหวังก็ตาม เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานหลังจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริษัทห้างร้านต่าง ๆ พากันปิดตัวลงเพราะไปต่อไม่รอดทำให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่อย่างเธอพลอยหางานประจำยากไปด้วย จะมีก็แต่งานที่อู่ซ่อมรถของขจรและงานร้องเพลงที่แอบไปทำตอนกลางคืนเท่านั้นที่พอทำให้ลืมตาอ้าปากได้ แต่ถึงจะลำบากแค่ไหน กชกรก็สามารถส่งเสียเลี้ยงดูให้ลูกสาวคนเดียวเรียนจบมหาวิทยาลัยได้จนสำเร็จด้วยเงินที่ได้มาจากการขายข้าวแกง แม้ว่าจะต้องแบ่งส่วนที่เหลือไว้จ่ายค่าเช่าบ้านก็ตาม “ครั้งที่แล้วก็ไปสมัครมากี่ที่ล่ะ บอกว่าจะติดต่อมาก็เงียบหายไปเลย สงสัยคงต้องรอให้เศรษฐกิจมันฟื้นตัวกว่านี้อีกหน่อยถึงจะมีคนรับสมัครงาน ถึงตอนนั้นค่อยไปก็ได้” เกศรินทร์มองหน้ามารดาวูบหนึ่งแล้วจึงรีบเสมองไปอีกทางเพื่อซ่อนหยดน้ำน้อย ๆ ที่รื้นออกมาเมื่อกชกรเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถทำให้แม่สุขสบายได้ “เอ้า! ยังนั่งอยู่อีกแม่บอกว่าไปอาบน้ำไง หรือต้องให้ตีเหมือนเด็ก ๆ ” “ไปแล้วแม่” นำเสียงสั่นเครือพยายามปรับให้เป็นปกติมากที่สุดก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปช่วยเช็ดใบตองอีกแรง แต่แล้วก็ต้องพบแต่ความว่างเปล่าเพราะกชกรเข้านอนไปแล้วเหมือนกัน สองเท้าค่อย ๆ เก้าไปบนพื้นไม้กระดานเก่า ๆ หยิบผ้าห่มผืนบางเบาห่มให้มารดาเพื่อคลายเหน็บหนาว สายฝนสาดเข้ามาผ่านช่องลมผุ ๆ เกิดเป็นละอองน้ำขนาดเล็กกระเซ็นไปทั่ว หญิงสาวจึงมองหากระสอบข้าวสารที่กชกรซื้อมาหุงเพื่อเตรียมไว้ขาย ตัดแต่งมุมให้กว้างพอดีก่อนจะนำมันขึ้นไปติดที่ช่องลมนั้นเพื่อบรรเทาให้หนักเป็นเบาลงได้บ้าง “หนูขอโทษนะแม่ ที่หนูทำให้แม่สบายไม่ได้” เกศรินทร์พึมพำผ่านความมืดภายในห้องแคบ ๆ ก่อนจะหันไปปิดไฟแล้วเดินหายเข้าห้องตัวเองไปพักผ่อนเช่นกันด้วยความอ่อนเพลีย อาจเป็นเพราะเพิ่งตากฝนมาจนเริ่มปวดหัวกระทั่งเผลอหลับไป กระทั่งตื่นมาในเช้ามืดของอีกวัน หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจเพราะปกติจะต้องได้กลิ่นควันไฟจากเตาไม้ฟืนของแม่แล้วทว่าวันนี้กลับเงียบผิดปกติจึงรีบเปิดประตูห้องออกมา มองหาร่างของกชกรที่มักจะเตรียมของออกไปขายแต่หัววันแต่วันนี้กลับไม่เห็น “แม่...แม่คะ แม่อยู่ในเนี่ย” เสียงใสตะโกนเรียกหามารดาจนทั่วบ้าน แต่แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของกชกรกำลังนอนแน่นิ่งหมดสติ ถ้วยจานหล่นแตกกระจัดกระจายทั่วพื้น “แม่! แม่เป็นอะไรคะ แม่! แม่ตื่นสิคะ” ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นตามวัยซีดเซียว ไม่แม้แต่จะปรือตาหรือขยับปลายนิ้วต่อให้เกศรินทร์จะพยายามส่งเสียงเรียกแค่ไหนก็ตาม “แม่ แม่ได้ยินเสียงเกดไหม แม่คะ แม่!” หญิงสาวเริ่มหวาดกลัว พยายามเรียกสติที่เตลิดหายไปของตัวเองให้กลับมา ก่อนที่จะหยิบสมาร์ตโฟนกดโทรหาขจรผู้เป็นลุงเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ครั้นจะรอให้ขจรมาถึงก็เกรงว่าจะไม่ทันการ หญิงสาวจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีหอบหิ้วร่างที่ไร้สติของมารดาขึ้นมาซ้อนทับแผ่นหลังของตัวเองเอาไว้ จากนั้นจึงกึ่งอุ้มกึ่งลากพาร่างนั้นออกไปจากบ้านอย่างทุลักทุเล “ไอ้เกด เกิดอะไรขึ้น” ขจรขับรถกระบะคันเก่าคู่ใจมาถึงหน้าปากซอยในเวลาถัดมาเอ่ยถามขึ้นด้วยความร้อนใจ หลังจากที่จอดรถทิ้งไว้แล้วเดินเท้าเข้ามาในซอย “ไม่รู้อ่ะลุง ตื่นมาตอนเช้าหนูก็เห็นแม่นอนอยู่บนพื้นแล้วอ่ะ” “มาเดี๋ยวลุงช่วย” ขจรช่วยออกแรงอุ้มร่างของกชกรเอาไว้ก่อนจะพากันตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลด้วยรถคันเก่าประจำอู่ทันที “ญาติคนไข้รอด้านนอกนะคะ” ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงยิ่งบีบคั้นให้หัวใจดวงน้อยเหมือนจะหยุดเต้นลงเสียดื้อ ๆ “แม่ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ หนูรอแม่อยู่นะ” “ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวแม่เอ็งก็ออกมา” ขจรตบไหล่เล็กของหลานสาวอย่างนึกเอ็นดู แม้จะร้อนรุ่มกลุ้มใจไม่ต่างกันก็ตาม เวลาผ่านไปนานนับหลายชั่วโมง ประตูห้องจึงถูกเปิดออกอีกครั้งทำให้คนที่รอคอยด้วยความหวังปรี่เข้าไปหาหมอทันทีด้วยความกระตือรือร้น “หมอคะ แม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ” “คนไข้มีอาการไตวายเฉียบพลันจนหมดสติไป เนื่องจากความดันโลหิตสูงจนเกิดภาวะช็อก” หมอเจ้าของไข้อธิบาย “แล้วมันอันตรายมากไหมคะหมอ แม่หนูจะมีโอกาสหายไหมคะ” “เรื่องไตมีโอกาสหายแน่นอนครับ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเราตรวจพบก้อนเนื้อในสมองของคนไข้ด้วย ประกอบกับคนไข้มีภาวะไตวายจึงส่งผลให้ความดันเลือดสูงถ้าเกิดปล่อยไว้มันอาจจะทำให้หลอดเลือดในสมองแตก หมอเกรงว่าถ้าทิ้งไว้นานมันอาจจะส่งผลร้ายต่อก้อนเนื้อนั้นด้วย” หมอค่อย ๆ อธิบายกระบวนการรักษาให้ฟังอย่างกระชับ บางประโยคก็พอฟังออกแต่ศัพท์แพทย์บางคำเกศรินทร์ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่ก็สามารถสรุปได้คร่าว ๆ ว่ากชกรจะต้องทำการฟอกเลือดเพื่อฟื้นฟูการทำงานของไตและรักษาความดันให้คงที่ก่อนจะต้องทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่สมองออกให้เร็วที่สุดด้วย “ถ้ารักษาตามนั้น แม่หนูจะหายมาเป็นปกติใช่ไหมคะ” “เรื่องนั้นคงต้องดูอาการกันต่อไปว่าการผ่าตัดจะส่งผลข้างเคียงต่อคนไข้หรือเปล่า...เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปอีกตึก แล้วก็ตรวจวัดความดันเป็นระยะถ้าความดันคงที่แล้วก็น่าจะทำการฟอกเลือดก่อน จากนั้นค่อยทำการผ่าเอาก้อนเนื้อออก ระหว่างนี้คนไข้ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก่อนนะครับเพราะหมอจะต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดด้วย” เกศรินทร์ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง ที่ผ่านมากชกรมีร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป อาจจะมีอ่อนเพลียบ้างแต่คิดว่ามาจากการทำงานไม่ได้ร้ายแรงอะไร อาการปวดหัวเรื้อรังก็พอบรรเทาด้วยยาแก้ปวดมาโดยตลอด ไม่คิดว่ามันจะกำเริบขึ้นมาทีเดียวหลายโรคถึงขนาดนี้ หมอเจ้าของไข้เดินหายเข้าไปในห้องอีกครั้ง เวลาผ่านไปชั่วครู่เตียงของกชกรก็ถูกเข็นออกไปพักฟื้นอีกตึกหนึ่งเพื่อตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด หญิงสาวมองตามเตียงของมารดาที่ถูกเข็นออกไปด้วยความรู้สึกที่มืดแปดด้าน ลำพังเงินจะกินจะใช้ไปวัน ๆ ก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว นับประสาอะไรกับเงินมากมายที่ต้องหามาเพื่อยื้อชีวิตมารดาเอาไว้อีก แค่คิดความเครียดก็ยิ่งประเดประดังเข้ามาจนหาทางออกแทบไม่เจอ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องกัดฟันหาทางรักษากชกรให้ได้ เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาก็มีเพียงแค่มารดาเท่านั้นที่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าบิดาเลยสักครั้งแต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด เพราะกชกรเป็นทั้งพ่อและแม่ที่สมบูรณ์แบบมาโดยตลอด ในเมื่อทุกอย่างมันถูกลิขิตมาเป็นแบบนี้เธอก็ต้องก้มหน้ายอมรับมันแต่โดยดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหญิงสาวจะไม่ยอมเสียมารดาไปอย่างเด็ดขาด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD