เข้าเรียนวันแรก...ชั้นอนุบาลสองกับโรงเรียนใหม่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่เภตราก็เลือกที่จะมาส่งลูกตั้งแต่เช้า ระหว่างรอพบคุณครูประจำชั้นเธอก็นั่งชวนหนูมิ้นคุยนั่นดูนี่อยู่ใต้อาคารเรียน เพื่อให้สาวน้อยได้เริ่มคุ้นชินกับสถานที่
เด็กหญิงยังคงอิดออดขอนั่งบนตักแม่แล้วซุกอยู่ในอ้อมแขนแน่นไม่ยอมขยับ มือหนึ่งกำหูตุ๊กตาผ้ากระต่ายไว้แน่น ทำหน้ามุ่ยปากแบะเตรียมตัวร้องไห้เต็มที่ ทันทีที่ไม่มีแม่อยู่กับเธอ
“อยากกลับบ้าน” สาวน้อยเอ่ยเสียงเครือ
“อืม...สนามเด็กเล่นที่นี่มีของให้เล่นเยอะแยะเลยนะคะ มีน้องกวางน้องช้างน้อยด้วย” เภตราดึงความสนใจของลูกสาวโดยการชี้ไปยังส่วนของสนามเด็กเล่นด้านนอกตัวอาคาร ซึ่งมีแผ่นยางปูพื้นหลากหลายสีสัน เพื่อป้องกันการกระแทกในระหว่างที่เด็กๆ เล่นกัน
รอบๆ มีรั้วไม้เล็กๆ สีขาวล้อมเอาไว้ และรูปปั้นสัตว์หน้าตาน่ารักอีกหลายชนิด ด้านในเต็มไปด้วยของเล่นอย่าง กระดานลื่น ซุ้มลอด บ้านลูกบอล ชิงช้า ม้าหมุน บันใดลิง เป็นต้น...
แน่นอนว่าที่โรงเรียนเดิมของหนูน้อยไม่ได้มีพื้นที่ให้เล่นกว้างเท่านี้ และเธอก็ดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เพียงแต่ยังรู้สึกอยากให้แม่อยู่ด้วยกันคงดีกว่า
“แม่ต๋าอยู่ด้วยได้ไหม” หนูมิ้นต่อรองพร้อมจะสะอื้นได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นโรงเรียนที่เดิมแม้ตอนแรกจะร้องไห้เหมือนกัน แต่เธอก็มีเพื่อนและคุณครูก็ใจดี แต่ที่นี่...ไม่รู้จักใครเลย
“เดี๋ยวรอคุณครูประจำชั้นมาพาหนูไป แม่ค่อยกลับก็ได้ค่ะ ที่บ้านมีงานอีกเยอะเลย...ถ้าแม่ไม่ทำงานก็จะไม่มีเงินซื้อขนมซื้อนมให้หนูมิ้นนะคะ”
“หนูมิ้นต้องคิดถึงแม่ต๋าแน่ๆ เลยค่ะ”
“สามโมงครึ่งก็เลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวแม่ก็มารับจ้ะ”
“ขอคุณครูเลิกเรียนตอนพักกลางวันได้ไหมคะ หนูมิ้นค่อยอยู่นานๆ พรุ่งนี้”
“ช่างเจรจานักเชียว...หนูมิ้นต้องเรียนหนังสือนะคะ หนูต้องอดทนนะคะลูก”
“หนูมิ้นคิดถึงแม่ต๋า” ยังย้ำไม่หยุดปาก
“แม่เองคิดถึงหนูยิ่งกว่าอะไร...แม่ก็ต้องอดทนเหมือนกันค่ะ ถ้าการเรียนไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับชีวิตหนู แม่จะไม่ยอมให้หนูมิ้นห่างจากสายตาแม้แต่วินาทีเดียว เข้าใจไหมคะ” ผู้เป็นแม่อธิบายอย่างใจเย็น นี่คือวิธีการสอนลูกของเภตรา คือการค่อยๆ ให้เด็กซึมซับสังคมรอบๆ ตัวในแต่ละช่วงวัย โดยไม่ให้ตัวเด็กเองรู้สึกถูกผลักไสให้โดดเดี่ยว
ไม่ว่าลูกจะรู้สึกอย่างไร...แม่ก็จะรู้สึกไปด้วยกันกับลูกเสมอ
“แม่ต๋ารีบมารับหนูมิ้นนะคะ” แม้จะเป็นเด็กน้อยอายุสี่ขวบ แต่ด้วยเพราะอยู่ตามลำพังกับแม่ และถูกอบรมให้รู้จักคิด รู้จักเข้าใจผู้อื่น ถึงจะงอแงไปบ้างตามประสาเด็กเล็ก แต่เมื่อได้รับฟังคำอธิบายอย่างมีเหตุมีผล ก็ทำให้หนูน้อยมีกำลังใจที่จะเข้าเรียนในชั้นเรียนใหม่มากขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ...นั่นไงคุณครูของหนูมิ้น” เภตรายืนขึ้นแล้วยกมือไหว้ทักทายครูประจำชั้นของลูก ซึ่งได้มีการพูดจาทักทายเบื้องต้นกันแล้วผ่านช่องทางออนไลน์
“สวัสดีคุณแม่ หนูมิ้น ครูชื่อส้มนะคะ ดีใจจังที่จะได้มีสาวน้อยน่ารักๆ มาเรียนกับครูด้วย” ครูสาวรับไหว้คุณแม่ จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงตรงหน้าหนูมิ้น
เมื่อถูกชมกันซึ่งๆ หน้าเด็กน้อยก็ยิ้มขวยเขินเป็นการใหญ่ แล้วหลบไปอยู่หลังผู้เป็นแม่
“แม่ขอฝากหนูมิ้นด้วยค่ะ ปกติแกเป็นเด็กร่าเริง แต่สำหรับวันแรกๆ คงต้องรบกวนให้คุณครูดูแลแกเป็นพิเศษหน่อยนะคะ” เภตรายิ้มเศร้า ยังคงหันไปดูลูกน้อยด้วยสายตาห่วงใย
“เป็นเรื่องปกติค่ะคุณแม่ ที่ห้องเรียนมีครูพี่เลี้ยงอีกสองคน ถ้าน้องร้องไห้หรือมีปัญหาที่ครูรับมือไม่ได้จะรีบแจ้งให้คุณแม่ทราบทันที ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ผู้ปกครองคนใหม่ของหนูมิ้นบอกอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ยินดีค่ะคุณแม่...ว่าไงคะสาวน้อย...” แล้วก็หันไปคุยกับหนูมิ้นบ้าง เด็กหญิงยังคงซ่อนตัวแต่ก็แอบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สวัสดีค่ะคุณครู” เธอทำความเคารพอย่างที่เคยถูกสั่งสอนมา
“จ้าเด็กดี...เอ๋ มีตุ๊กตามาด้วยเหรอ น่ารักเหมือนหนูมิ้นเลยนะเนี่ย” เธอมองไปยังตุ๊กตากระต่ายที่หนูมิ้นจับหูหิ้วอยู่ในมือ ตัวโตเกือบๆ เท่าความสูงของแกเลยทีเดียว
“นี่หนูต่าย ไม่ใช่ตุ๊กตานะคะ เป็นเพื่อนกับหนูมิ้น” เธอแนะนำให้ครูประจำชั้นรู้จักกับเพื่อนรัก ค่อยๆ ขยับมายืนข้างๆ แม่ที่ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“อ๋อ...สวัสดีค่ะหนูต่าย เอ...ว่าแต่เราพาหนูต่ายไปดูห้องเรียนกันดีไหมคะ มีของเล่นให้หนูมิ้นกับหนูต่ายเล่นเยอะมากๆ มีภาพให้ระบายสีด้วยนะ” เสียงหวานกล่าวด้วยท่าทีเชื้อเชิญ
“จริงเหรอคะ” สาวน้อยทำตาปริบๆ อย่างสนใจ แล้วหันมองแม่ที มองหนูต่ายที เหมือนจะขอคำปรึกษา
“แม่ว่าหนูมิ้นพาหนูต่ายไปดูของเล่นก่อนดีกว่านะคะ ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวแม่ให้คุณครูโทร.บอก แล้วแม่จะรับกลับบ้านโอเคไหม”
“โอเคค่ะ” คราวนี้สาวน้อยตอบอย่างร่าเริง แล้วก็ยอมให้คุณครูจับมือแต่โดยดี
“เดี๋ยวครูจะถ่ายคลิปวิดีโอส่งให้ผู้ปกครองดูเป็นระยะนะคะ คุณแม่อยู่ในกลุ่มไลน์ของห้องแล้วใช่ไหม” ครูส้มลุกขึ้นยืนแล้วถาม
“ใช่ค่ะ...”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ หนูมิ้น หนูต่าย...ไปดูห้องเรียนของเรากันค่ะ” ครูส้มจูงมือสาวน้อย และขอหนูต่ายไปอุ้มไว้เพื่อให้เจ้าตัวเล็กเดินได้สะดวก
สองคนก้าวเท้าพาเดินกันไปตามทางใต้อาคารเรียน โดยมีเภตรายืนมองอย่างไม่ละสายตา และบางครั้งหนูมิ้นก็ยังหันกลับมามองแม่ด้วยความลังเลเช่นกัน จนกระทั่งทั้งครูและลูกศิษย์คนใหม่หายลับเข้าไปในห้องเรียน
เธอก็จำต้องออกจากโรงเรียนแห่งนั้นเพื่อกลับไปทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ...
เภตรายังคงยืนอยู่หน้าประตูรั้วของโรงเรียนเอกชนที่ได้ส่งให้ลูกเข้าเรียนล่าสุด แล้วนึกถึงตัวเลขเงินในบัญชีธนาคารตอนนี้ ที่มันร่อยหรอจนน่าใจหาย ทั้งค่ารักษาพยาบาล ทั้งค่าเทอมที่ต้องจ่ายในเวลาไล่เลี่ยกัน มันทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน
กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกยินดี ใบหน้าเปี่ยมสุขยิ้มทั้งน้ำตา...ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถส่งลูกให้เรียนในโรงเรียนชื่อดังแห่งนี้ได้...
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ รับจ้างซักรีดเพื่อหาเงินประทังชีวิตตัวเองกับลูก แต่ก็ยังอดออมจนมีเงินเก็บก้อนหนึ่งเพื่อการศึกษาของหนูมิ้น ที่ผ่านมาเธอไม่เคยซื้อเสื้อผ้าของใช้แพงๆ หรือต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เกินความจำเป็น เพราะอยากใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้มีค่ามากที่สุด ด้วยกลัวว่า...หากทำอะไรเกินตัว แล้วมันจะบั่นทอนในส่วนที่ลูกควรได้รับ
แต่สำหรับการเรียนของหนูมิ้นแล้ว ต่อให้ต้องเสียเท่าไหร่ หรือต้องทำงานหนักแค่ไหน เธอก็จะขอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมในด้านต่างๆ ของสถานศึกษานั้น หรือการดูแลเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด...