ไม่รู้ว่าระแวงมากไป หรือเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วเพื่อความสงบสุขปลอดภัยของตัวเอง แต่เภตราก็ได้ทำเรื่องย้ายโรงเรียนใหม่ให้ลูกแล้วในตอนนี้ ซึ่งก็ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากอะไร เพราะหนูมิ้นเพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาล และตอนนี้ก็ยังต้องพักรักษาตัวให้หายดีก่อน ถึงจะไปเรียนได้ตามปกติ
กระนั้นแล้วก็ยังไม่รู้สึกคลายจากความกลัว...ว่าจะต้องพบเจอกับ อมันต์อีก ทั้งที่ชายหนุ่มอาจไม่เคยใส่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
เพราะตอนนี้เขาแต่งงาน มีภรรยา....นั่นทำให้เห็นว่า เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขามานานแล้ว
“แม่ต๋า...ปวกหัว”
“หนูมิ้นตื่นแล้วเหรอคะ” เสียงของลูกทำให้สติเธอกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง หญิงสาวอ้าแขนรับตัวลูกน้อยที่เดินตรงเข้ามาแล้วกอดหอม ก่อนจะปล่อยให้นั่งลงบนตัก
“กงนี้ๆ ค่ะ” มือเล็กป้อมชี้ไปที่แผลซึ่งมีผ้าก็อตสีขาวติดเอาไว้ รอยแผลแตกตรงศีรษะยังสร้างความระบมให้เธออยู่ แม้จะผ่านเวลามาร่วมสัปดาห์แล้วก็ตาม
ส่วนหนึ่งก็อยากใช้เป็นข้ออ้างอ้อนแม่ด้วยนั่นแหละ...
“เพี้ยงๆ ค่ะ...เดี๋ยวก็หาย หนูมิ้นของแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว” เธอหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู
หนูมิ้นกอดแม่กลับ ซุกหน้าเข้าหาความอบอุ่น พลางฮัมเพลงไปด้วยความอารมณ์ดี ได้รับคำชื่นชมก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ และสำหรับแม่...เธอก็เป็นเช่นนั้นเสมอ
“ไปเที่ยวค่ะ ไปเที่ยวกัน” เด็กหญิงอ้อนแม่
“แม่ต้องทำงาน มีเสื้อผ้าอีกเยอะยังรีดไม่เสร็จเลย หนูมิ้นหิวข้าวหรือยังลูก” เธอถาม รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยตะกร้าใส่ผ้าของลูกค้า ซึ่งแยกไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงต้องรีดให้เสร็จภายในคืนนี้ เพื่อจะส่งให้กับลูกค้าได้ตรงเวลา
มันค่อนข้างเป็นงานหนักสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ลูกยังเล็ก แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก ขอเพียงมีงานทำ และได้ใช้เวลาอยู่กับหนูมิ้นไปด้วยในขณะเดียวกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“กินหนมได้ไหมคะ” สาวน้อยต่อรอง
“ไม่ได้ค่ะ...ถ้าหิวก็ต้องกินข้าวก่อน ขนมเอาไว้ทีหลัง”
“อือ” คนถูกขัดใจแบะปาก ถอนหายใจแรง
“เมื่อกี้แม่ยังชมอยู่เลยว่าเก่ง ดูสิดื้อใส่ซะแล้ว”
“เปล่าดื้อค่ะ หนูมิ้นเป็นเด็กดี” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุดเท่าที่จะทำได้
“งั้นไปกินข้าวกัน แม่ทำไข่ตุ๋นผักรวมอร่อยๆ ไว้ให้แล้วค่ะ” เธอยิ้มอย่างมีความสุข ความเครียดที่รุมเร้าก่อนหน้าพลันหายไปอย่างไม่รู้ตัว
เภตราหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ อุ้มลูกแล้วลุกขึ้นพาเดินเข้าไปในครัว ซึ่งมีพื้นที่เล็กๆ ให้พอประกอบอาหารได้ กระนั้นเธอก็ยังมีความสุขดี ที่ได้มีเวลาดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิดในทุกๆ วัน
ก่อนหน้านี้ตอนกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ และมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เธอมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอที่จะใช้จ่ายได้จนถึงตอนคลอด แต่กระนั้นเธอก็ยังทำงานอยู่ในร้านสะดวกซื้อจนกระทั่งคลอดลูก หลังจากนั้นก็หยุด และทุ่มเทเวลาให้กับเจ้าหญิงตัวน้อยๆ อย่างเต็มที่
ในตอนนั้นถือเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด ด้วยความเป็นแม่มือใหม่ และต้องดูแลตัวเองกับลูกทุกอย่าง กินนอนได้ไม่เต็มที่ มิหนำซ้ำด้วยความโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้า เธอก็ยังมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดคุกคามอย่างหนัก จนหลายครั้งนึกอยากจะหอบลูกวัยแบเบาะลาโลกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่พอคิดได้ว่า...ในเมื่อเลือกที่จะเกิดไม่ได้ หนูมิ้นก็ควรได้รับโอกาสในการเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง ในความเป็นแม่ หน้าที่ของเธอคือเลี้ยงดูลูก ให้ความรัก ให้การอบรบสั่งสอน เฝ้าดูการเจริญเติบโต ให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ ไม่ใช่มาตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วทำลายชีวิตบริสุทธิ์ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่
บวกกับได้รับการรักษาอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง มีคุณหมอเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจ ซึ่งสามารถโทร.ขอคำปรึกษาได้ตลอดเวลา และพร้อมให้การช่วยเหลือทุกด้าน เธอจึงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายดำดิ่งนั้นมาได้ แม้ในปัจจุบันยังต้องรับประทานยาอยู่ แต่อารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ได้สวิงขึ้นๆ ลงๆ เหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว
เมื่อมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ เภตราก็ยิ่งรู้ว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดเลย...
การได้เห็นพัฒนาการของหนูมิ้นในแต่วัน แต่ละช่วงวัย คือความสุขอย่างที่สุด สามารถเยียวยาบรรดเทาความเจ็บปวดทุกสิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งเดียวที่ยังรู้สึกเสียใจต่อเรื่องที่ผ่านมาคือ เธอทรยศต่อบิดามารดา เพียงเพื่อจะได้อยู่กับผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง...
เธออ่อนต่อโลกเกินไป...และบทเรียนเรียนครั้งนั้น ก็ได้สอนอะไรหลายๆ อย่าง เกิดภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตอย่างดีเยี่ยม
“แม่ต๋า! แม่ต๋า!” เมื่อแม่ไม่ตอบสนองต่อเสียงโทรศัพท์ที่บรรเลงบทเพลงอยู่บนโต๊ะ หนูมิ้นจึงเรียกแม่เสียงดังขึ้น พลางเอามือตบโต๊ะปังๆ แล้วก้มลงมองหน้าแม่ด้วยสายตาปริบๆ
“อ๋อ...เอ่อ...เดี๋ยวแม่ไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ อย่าเล่นข้าวให้เลอะอีกล่ะ” เภตราวางช้อนอันเล็กซึ่งใช้ป้อนข้าวให้ลูกลงในถ้วย ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสไลม์รับสายเมื่อเห็นชื่อ
“ค่ะ คุณป้า...” นานมากแล้วที่คู่สนทนาไม่ได้ติดต่อหาเธอ หญิงสาวจึงตงิดใจว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นใช่ไหมคะ” เมื่อได้รับข่าวจากอีกฝ่าย ในหัวใจก็เต้นระทุก ทั้งที่พยายามคิดในแง่ดีแล้วเชียว แต่เรื่องราวกลับเป็นไปอย่างที่หวาดหวั่น
“ตอนนี้ย้ายโรงเรียนให้หนูมิ้นแล้วค่ะ แต่ยังพักอยู่ที่เดิม ถ้าเป็นแบบนี้ฉันคงต้องไป...” เพราะเรื่องราวมันผ่านมานานมากแล้ว เธอกับลูกก็มีความสุขเสมอต้นเสมอปลาย และอมันต์เองก็มีครอบครัวใหม่ เป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่ได้อยากให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นอีก ไม่รู้ว่าเขาเลือกที่จะตามมาหาเธอทำไม...
“จะดีเหรอคะ...ได้ค่ะ แต่ถ้าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ฉันก็เบื่อที่จะซ่อน อยากพาลูกไปให้พ้นๆ ไม่ต้องพบไม่ต้องเจอกันอีก” เภตรากล่าวกับปลายสายด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“แม่ต๋า...กิงข้าว”
“จ้า...แม่ไปแล้วจ้าลูก” เมือเล็กป้องหูโทรศัพท์เอาไว้แล้วหันไปบอกลูกรัก
“เร็วค่ะ เร็วๆ”
“เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ไปก่อน ปกติก็ไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนอยู่แล้ว...เมืองเชียงใหม่ไม่ใช่เล็กๆ ยังไงก็หาไม่ง่ายนักหรอกค่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะติดต่อไปก็แล้วกัน” ปลายสายก็รับคำตามข้อตกลง เภตราจึงวางสายแล้วเดินกลับไปป้อนข้าวให้ลูก ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับประทานอาหารสำหรับเด็ก
“ใครโทร.มาคะ ทำไมคุยนาน” เจ้าตัวถามพลางตักข้าวใส่ปาก ในขณะที่สายตายังมองผู้เป็นแม่ ซึ่งกำลังนั่งลงข้างๆ
“นานที่ไหนกัน ก็เพื่อนแม่แหละจ้ะ...รีบกินเถอะ จะได้อาบน้ำนอน นี่ก็จะบ่ายอยู่แล้วนะหนูมิ้น แม่ยังต้องรีดผ้าอีกเยอะเลย ถ้าไม่ดื้อแม่จะพาออกไปเที่ยวข้างนอกดีไหมคะ”
“ไม่ดื้อค่า...หนูมิ้นเก่ง” แล้วก็ตบมือแปะๆ ให้กับความเก่งฉกาจของตัวเอง เหมือนอย่างที่แม่ทำให้เห็นเป็นประจำ เมื่อเธอทำดี แม่จะปรบมือให้เป็นกำลังใจ...
หลังจากป้อนข้าวให้ลูกจนอิ่ม หนูมิ้นก็ถูกจับอาบน้ำและได้นอนพักช่วงกลางวัน ระหว่างนั้นเภตราจึงมีเวลาทำงานได้เต็มที่ เธอรีบรีดผ้าที่เหลือก่อนลูกจะตื่น เพราะไม่อาจเดาสถานการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
บางครั้งหนูมิ้นก็อารมณ์ดี ร่าเริง นอนดูทีวีคนเดียวได้โดยมีเธอทำงานอยู่ข้างๆ แต่บางครั้งก็งอแงจะให้เธอเล่นด้วย คอยคลอเคลีย ชอบนั่งนอนบนตัก ตัวติดกันจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่อาจขัดใจลูกได้ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้หัวใจเติมเต็มไปด้วยความสุข...
สัปดาห์หน้า อะไรๆ ก็คงเข้าที่เข้าทางกว่านี้ เมื่อหนูมิ้นไปโรงเรียนซึ่งเธอได้พาไปสมัคเอาไว้แล้ว รอเพียงเวลาให้หนูมิ้นหายดีก็จะได้ไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่น สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ คุณครูกับเพื่อนๆ ที่ไม่คุ้นเคยอาจทำให้ช่วงแรกๆ คนเป็นแม่ต้องอกสั่นหวั่นไหวไปบ้างด้วยความเป็นกังวล ว่าลูกจะปรับตัวได้อย่างไร แต่เชื่อเถอะว่าลูกสาวคนเก่งของเธอ จะไม่ทำให้แม่คนนี้เสียแรงเปล่า... ถึงตอนนั้นจะได้กลับมารับงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง เพื่อจะได้มีรายได้มากกว่าเดิม เงิน...เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ลูกของเธอได้มีชีวิตที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า