มื้อเช้าวันนั้นถูกยกเลิกไปโดยปริยาย สุคนธรสนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนเตียง โดยที่สามีของเธอไปนั่งอยู่ตรงมุมโซฟาของห้อง
“ผู้หญิงคนนั้น...คือคนเดียวกับแฟนที่คุณเคยบอกว่าเธอแท้งลูกเหรอคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ยังคงสั่นเครืออยู่เล็กน้อย
“ใช่...”
“แต่คุณเคยบอกว่าเธออาจจะเสียไปพร้อมกับเด็กแล้ว”
“ก็แค่อาจจะ...เหมือนที่คุณว่าคุณอาจจะมีลูกไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมตามหาเขาทั่วไปหมด จ้างนักสืบก็แล้ว แจ้งความก็แล้ว สองปีก่อนจะถูกส่งไปเรียนเมืองนอก ไม่เคยมีสักวันที่ผมจะหยุดิ้นรนหาหนทาง คนเราถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีเบาะแสอะไรบ้างสิ ต่อมา...ก็มีคนบอกผมว่าเธอเสียไปแล้ว” เขาอธิบายตามความเป็นจริง อาจจะดูด่วนสรุปและเห็นแก่ตัว แต่มันเป็นทางออกให้จิตใจของเขาในตอนนั้น เมื่อไม่สามารถหาตัวเภตราได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม
“แสดงว่าคุณรู้ตั้งแต่ตอนที่เราพบพวกเขาที่เชียงใหม่แล้ว ทำไมไม่บอกฉันคะ”
“ตอนแรก...ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แล้วเภตราเขาไม่ได้ยอมรับผม...ไม่ยอมคุยด้วยซ้ำ”
“มาม๊ารู้เรื่องนี้แค่ไหนคะ” สาเหตุเพราะเธอเป็นคนเปิดประเด็นเล่าเรื่องอุบัติเหตุเกี่ยวกับสองแม่ลูกให้แม่สามีฟัง จึงใคร่รู้ว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้
“ม๊ารู้ว่าผมเจอเภตรากับเด็ก...แต่ท่านไม่มั่นใจว่าใช่ลูกผมไหม”
“คุณก็เลยตรวจดีเอ็นเอเพราะต้องการยืนยันกับท่าน แต่ตัวเองมั่นใจอยู่แล้วใช่ไหมคะ” เธอมองเขา แววตาแฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลายนัก
“ครับ...”
“...” หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่นแล้วลอบเช็ดน้ำตา เธอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนรักเก่าที่เป็นรักแรกและรักเดียวของเขาก่อนจะพบกับเธอมาไม่น้อย เพราะชายหนุ่มไม่เคยปิดบัง แต่วันนี้คนคนนั้นมีตัวตนขึ้นมา แล้วคนที่รู้ตัวเองว่าเป็นได้แค่เงาเสมอ จะต้องอยู่ตรงไหน...
“ผมขอโทษ...แต่ผมกับเภตราเราคงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ตอนนี้ผมห่วงแต่หนูมิ้น”
“แต่คุณรักเขา คุณไม่เคยลืมเขาเลย ฉันรู้...ที่แล้วมาเพราะคิดว่าเขาเสียไปแล้วจริงๆ ฉันจึงวางใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เคท...ที่ผมอยากทำก็คือรับผิดชอบเขากับลูก ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น”
“ฉันปวดหัวจังเลยค่ะ...เราค่อยพูดเรื่องนี้กันวันหลังดีกว่า คุณไปคุยกับม๊าก่อนเถอะว่าเรื่องมันเป็นยังไง” เธอว่าแล้วก็ขยับตัวขึ้นไปกลางเตียงนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ผมอยู่กับคุณก่อนดีกว่า...เดี๋ยวจะเรียกหมอให้นะ”
“อย่าเลยค่ะ แค่นอนสักพักก็คงดีขึ้น ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เขา ในขณะทีชายหนุ่มเดินเข้ามาห่มผ้าให้
“ถ้าอย่างนั้น...ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวจะไปหาอะไรอุ่นๆ ให้ดื่มถ้าคุณยังไม่หลับ”
“ค่ะ...”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะปลีกตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย...
“เขาบอกฉันแล้วอิงค์...เรื่องลูกของเขา” ทันทีที่แน่ใจว่าสามีกำลังอาบน้ำอยู่ สุคนธรสก็ต่อสายหาเพื่อนสนิท เพื่อพูดคุยระบายความในใจให้อีกฝ่ายรับฟัง
‘ก็ดีแล้วที่เขาไม่โกหก แล้วแกจะทำยังไงต่อ’
“ฉันชิงบอกเขาก่อนว่าท้อง...ฉันไม่รู้จะทำยังไงอิงค์ ฉัน...สับสนไปหมดแล้ว”
‘เฮ้ย...ใจเย็นๆ มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ แกคิดว่าเขาจะกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นไหม’
“เขาบอกว่าไม่...แต่อิงค์ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเห็นเภตราอีกครั้ง ใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะอยู่กับฉันเลย”
‘นี่แค่เริ่มต้น แกตั้งตั้งสตินะเคท อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วแกไปบอกเขาว่าท้องด้วยแบบนี้ มันไม่ยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่เหรอวะ’
“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ...แต่ทันทีที่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกคุณอาร์ต ฉัน...ก็ช็อกไปเลย” อันที่จริง...เธอรู้เรื่องการตรวจดีเอ็นเอก่อนที่เขาจะกลับมาแล้ว เพราะทันทีที่รู้ว่าอมันต์เดินทางไปเชียงใหม่ เธอก็หาทางคาดคั้นเอากับทนาย เพราะรู้ว่าต้องมีส่วนรู้เห็นอะไรสักอย่าง แต่ลึกๆ ก็อยากคิดถึงขั้นว่าเขาจะมีลูกนอกสมรส และกำลังพยายามดึงพวกเขาเข้ามาพัวพันในครอบครัว...
รอเพียงให้ชายหนุ่มกลับมา และดูว่าเขาจะพูดความจริงหรือเปล่า ซึ่งเขาก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
‘ถ้าไม่สบายใจ ให้ฉันไปรับไหม...ไปหาอะไรดื่มกันสักหน่อย เดี๋ยวนัดคนอื่นๆ ด้วย ฉันไม่อยากให้แกอยู่คนเดียวว่ะ บอกตรงๆ’
“ขอบใจมากอิงค์...ตอนนี้ยังตื้อๆ ตึงๆ อยู่เลย เอาไว้คืนนี้ค่อยออกไปดีกว่า แกจองร้านไว้เลยก็แล้วกัน” เธอกล่าวกับรัศม์อรุณ ก่อนจะกล่าวลากันแล้วกดวางสาย สอดสมาร์ทโฟนเอาไว้ใต้หมอนดังเดิม แล้วยกมือขึ้นนวดขมับ
ในตอนนี้เธอไม่ได้ปวดที่ศีรษะ...แต่มันเจ็บไปถึงแกนสมองและก้นบึ้งของความรู้สึกเลยทีเดียว...
วันนี้เป็นวันเสาร์...สองแม่ลูกตื่นกันแต่เช้า เพื่อจองตั๋วรถไปตู้นอนไปลงกรุงเทพฯ แล้วค่อยรถมินิบัสต่อไปพัทยาด้วยกัน เภตราอยากให้ลูกได้เปิดหูเปิดตา ได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ๆ บ้าง เพราะแกเริ่มที่จะมีพัฒนาการเรียนรู้มากขึ้นทุกที ไม่อยากให้อุดอู้อยู่กับที่พักกับโรงเรียน
อยากลองพาเดินทางไกลดูสักครั้ง....สาวน้อยดูจะตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษ...
หญิงสาวเลือกโดยสารรถไฟเพราะไม่แออัดจนเกินไป และอีกอย่างเธอกลัวรถตู้มากด้วย เนื่องจากมีข่าวเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่มีรถส่วนตัว แต่อย่างน้อยก็ขอตัวเลือกที่คิดว่าปลอดภัยไว้ก่อน ครั้นจะเหมาแท็กซี่หรือนั่งเครื่องบินก็แพงหูฉี่ เสียดายเงินส่วนนั้นที่ควรจะเอาไปซื้อของให้หนูมิ้นดีกว่า
“แม่ต๋า เมื่อคืนหนูมิ้นคุยกับหนูต่ายว่าเขาจะไม่เป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ” เด็กหญิงชวนแม่คุย ขณะรถไฟเคลื่อนตัว เธอนั่งอยู่ข้างๆ กับมารดา ตรงกันข้ามก็เป็นแม่ลูกคู่หนึ่งเช่นกัน แต่เป็นเด็กผู้ชายและอายุน้อยกว่าหนูมิ้นสักประมาณสองปีเห็นจะได้
“อ้าว...ทำไมคะ”
“ก็หนูต่ายเป็นเบบี๋นี่คะ นอนอย่างเดียว ต้องให้หนูมิ้นดูแลตลอดเลย” เธออธิบายแล้วถอนหายใจใหญ่ด้วยความเหนื่อยหน่าย “แล้วอย่างนี้จะทำไงดีคะ”
“ก็ให้หนูต่ายเป็นน้องสาวค่ะ...หนูมิ้นเป็นพี่ ไม่เป็นเพื่อนแล้ว”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
“จริงๆ หนูมิ้นอยากเป็นแม่ค่ะ แต่หนูต่ายบอกว่าหนูมิ้นตัวเล็กเกินไป รอให้โตก่อน”
“เอ่อ...แม่ว่าหนูต่ายก็พูดถูกนะจ๊ะ” หญิงสาวแอบอมยิ้ม บางทีก็สงสารลูกที่ต้องเล่นคนเดียวบ่อยๆ เนื่องจากเธอต้องทำงาน แทบไม่มีเวลาว่างเลย
“อีกอย่าง หนูมิ้นยังไม่มีแฟนด้วยค่ะ ถ้าหนูต่ายเป็นลูกก็คงกลายเป็นกระต่ายไม่มีพ่อ” ว่าไปนั่น
“หนูมิ้นคะ...ไปเอาคำนี้มาจากไหนลูก ฟงแฟนเนี่ย”
“เพื่อนๆ บอกค่ะ แล้วที่โรงเรียนก็เล่นพ่อแม่ลูกกันด้วย” เธอหันไปจับหนูต่ายแกว่งไปแกว่งมา
“เอ่อ...แต่หนูมิ้นยังไม่มีแฟนใช่ไหมจ๊ะ” ถามย้ำด้วยความหวงน้อยๆ
“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่มี...มีผู้ชายมาขอเป็นแฟนค่ะ แต่เขาไม่หล่อเหมือนคุณพ่อก้อง หนูมิ้นเลยบอกว่าไม่โอเค”
อะไรนะ!
“ค่ะลูก...ค่ะ” เภตราแอบหายใจหอบแรง ทำไมเด็กสมัยนี้รู้มากกันจัง จำได้ว่าสมัยเรียนเธอเพิ่งได้ยินเกี่ยวกับคำว่าแฟนก็ตอนอยู่ ป.4 แล้วมั้ง
นี่ลูกเพิ่งเรียนอนุบาลสองเองนะลูกขา แถมรู้อีกว่าหล่อไม่หล่อเป็นยังไง
แม่จะเป็นลม...