CHAPTER 2 #Pete

2784 Words
ผมตื่นเช้าไปทำงานในตอนเช้าของวันเดิมด้วยจิตใจเบิกบาน... ก็แย่ละ กว่าจะกลับห้องมาอาบน้ำนอนก็เกือบตีสี่ หกโมงครึ่งก็ได้เวลาตื่นไปทำงานละ ผมคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่มาเรียนแพทย์ ความจริงเมื่อคืนผมออกเวรตอนเที่ยงคืน แต่เพราะมีคนไข้อุบัติเหตุรถคว่ำปอดฉีกเข้ามาพอดี ผมใช้ทุนมาสองปีกว่าแล้ว อีกไม่นานก็ต้องต่อเฉพาะทาง ด้วยความที่ตั้งใจจะต่อด้านศัลยกรรมทั่วไปที่ดูแลเรื่องการผ่าตัดอยู่แล้วก็เลยขออาจารย์หมอเข้าไปเป็นลูกมือช่วยเพื่อศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ ไม่คิดเลยว่ากลับคอนโดมาจะเจอแจ็กพอต แจ็กพอตแรกคือคนยิงกันในที่จอดคอนโดตอนตีสาม! แจ็กพอตต่อมาคือคนถูกยิงดันเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของผม! เมื่อคืนหลังจอดรถดับเครื่องเสร็จผมก็นั่งกินขนมที่ใส่ติดรถไว้ด้วยความหิว ไม่นานรถยุโรปคันหนึ่งก็มาจอดที่ว่างฝั่งตรงข้าม ผมก็กินขนมของผมไปแบบไม่ได้ใส่ใจอ่ะนะ จนมันมีเสียงปืนดังขึ้นเนี่ยแหละ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากโดยที่ผมได้แต่ตาค้างดู จนทุกอย่างสงบลงถึงได้ก้าวขาออกวิ่งตามไปเพราะไม่กล้าขึ้นลิฟต์คนเดียว ไม่นึกเลยว่าจะเจอกับกร ผมก็รู้ว่ามันเป็นลูกมาเฟียฮ่องกง แต่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะมีแต่ในหนัง พอเกิดขึ้นตรงหน้าแล้วมันช็อกไปเลย ยิ่งเห็นกรมีแผลด้วยใจผมยิ่งสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งกลัว กรเปลี่ยนไปเยอะเลยทีเดียว มันสูงขึ้นกว่าเดิมจากวันสุดท้ายที่เราได้เจอกันตอนม.6 ดูหนาขึ้นแบบคนออกกำลังกายแต่ไม่ถึงขั้นเล่นกล้าม แถมยังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแบบแปลกๆ ตอนคบกันมันง้องแง้งจะตาย คิดแล้วก็ขำ คนที่บอกเลิกกันเพราะผมไม่มีเวลาให้ช่วงติวสอบจะไปคุมลูกน้องเป็นพันๆ คนได้ไงวะ ตอนนั้นผมยังคิดอย่างนี้อยู่เลย ละมาดูตอนนี้สิ มันเหมือนมีออร่าของผู้มีอิทธิพลกระจายอยู่รอบตัว ที่เคยรู้สึกว่าเราต่างกันเกินไปในตอนนั้น วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าระยะห่างตอนนี้มันคูนสิบเลย เหอะๆ ใช่ว่าผมไม่เจ็บนะ ตอนโดนบอกเลิกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมันชาไปหมดทั้งตัว ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ ไม่รั้ง ไม่ร้อง ไม่อะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนทุกวันนี้ ยังไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงมันเลย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออาการ ‘ยังรัก’ หรือแค่ ‘ยังไม่ลืม’ แต่ให้พูดตามตรงก็ต้องยอมรับว่าเมื่อวานผมดีใจมากที่ได้เจอกันอีกครั้ง ตอนทำแผลก็พยายามทำตัวอ้อยอิ่งเพื่อที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายนานๆ ไม่รู้สิ ผมว่าผมก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองพอสมควรนะ แต่เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ด้วยหน้าตาที่ออกน่ารัก ขาวๆ ตาโตๆ หน่อยของผม มันทำให้มีคนเข้ามาหาอยู่บ้างทั้งชายทั้งหญิง แน่นอนว่าผมปฏิเสธไปหมดตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเรียนหนัก ไม่มีเวลาเทคแคร์ แต่ความจริงแล้วกรเองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ผมไม่อยากมีใครใหม่ ไม่รู้สิ มันเหมือนกับว่าความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมันยังอยู่ ผมไม่รู้ อาจจะอยู่กับผมฝ่ายเดียวก็ได้ ชีวิตที่อเมริกาของมันก็ดูเฮฮาปาร์ตี้และมีผู้หญิงรายล้อม สังเกตเอาจากการไปส่องเฟซบุ๊กอ่ะนะ คงไม่ได้เจ็บปวดกับเรื่องของผมเหมือนกับในวันนั้นแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามลืมนะเว่ย แต่ท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นคนเดียวที่ผมคิดถึงเวลาฟังเพลง ดูหนัง อ่านนิยาย หรือแม้กระทั่งตอนที่ไม่มีอะไรจะคิด โมเมนต์ต่างๆ ที่เราเคยมีด้วยกันมันก็มักจะแวบเข้ามา ทั้งๆ ที่เราก็คบกันได้ไม่ถึงปี แต่ตลอดแปดปีมานี้กลับมีความทรงจำให้นึกถึงอยู่ตลอด มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยอ่านผ่านตาทางอินเทอร์เน็ต ‘เราอาจเกิดมาเพียงเพื่อแอบรักใครสักคนที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ แล้วตายจากกันไปอย่างเงียบๆ’ เจ็บดีมั้ยล่ะ ฮ่ะๆ อาหารเช้าวันนี้ของผมเป็นสลัดผักกับไข่ต้มและกาแฟเหมือนเดิม เหตุผลก็คือมันสะดวก อยู่ท้อง แถมมีประโยชน์ ผมรู้ว่าการอดนอนและกินข้าวไม่เป็นเวลาจะลดอายุขัยของผมลงไปหลายปี ผมเลยพยายามทานมื้อเช้าให้มีประโยชน์ที่สุดเพื่อรักษาสุขภาพ ส่วนมื้ออื่นๆ ก็พึ่งโรงอาหารโรงพยาบาล วันไหนได้กินครบสามมื้อแบบที่มื้อเย็นไม่ใช่ตอนสี่ทุ่มผมก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว ผมอยากเป็นหมอตามพ่อ พ่อผมทำงานต่อในโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่จับสลากได้สมัยใช้ทุนแม้บ้านเกิดจะอยู่กรุงเทพ พ่อบอกว่าหมอมันขาดแคลน พ่อทิ้งคนไข้ที่โรงพยาบาลมาอยู่กับพวกเราไม่ได้ ผมจึงเริ่มมีความคิดอยากเป็นหมอตั้งแต่ตอนนั้น คิดแค่ว่าจะไปช่วยพ่อที่โรงพยาบาลนั้นหลังเรียนจบ แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน พ่อผมเสียตอนผมเรียนอยู่ปี 4 เพราะติดวัณโรคจากคนไข้ ในตอนนั้นแพลนที่จะไปเป็นหมอตามป่าเขาที่กันดารของผมจึงต้องล้มพับไปเพราะผมไม่อยากทิ้งแม่ไว้ที่บ้านคนเดียว โชคดีที่ตอนสอบผมสอบติดผ่านโควตาของโรงพยาบาลหนึ่งในกรุงเทพจึงไม่ต้องไปใช้ทุนที่ไหนไกล แต่ตอนต่อเฉพาะทางเนี่ยสิ ไม่รู้จะหาโรงพยาบาลในกรุงเทพได้หรือเปล่า ตอนนี้เลยพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เผื่อพี่ๆ สตาฟที่โรงพยาบาลจะถูกใจและหาช่องทางให้ผมต่อที่นี่ได้ ระหว่างรอลิฟต์ผมก็นึกถึงกรขึ้นมาอีกครั้ง ผมเช่าคอนโดอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่ใช้ทุนมาเป็นสองปี แต่ไม่เคยแม้แต่เดินสวนกัน ก็แปลกดีที่บทจะเจอก็เจอกันง่ายๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่ได้เข้าออกคอนโดตรงเวลาแบบชาวบ้านเขาด้วยมั้ง ใช้เวลาไม่นานจากห้องพักชั้นเก้าของผมลงมายังที่จอดรถชั้นหก คอนโดนี้โครงสร้างเหมือนห้างทั่วๆ ไปที่มีลิฟต์สองฝั่ง คือฝั่งที่จอดรถหนึ่งตัว และตรงโถงกลางชั้นอีกสองตัว แต่เพราะห้องผมอยู่ใกล้ฝั่งที่จอดรถมากกว่า ผมจึงแทบไม่เคยไปใช้ลิฟต์อีกฝั่งเลย หลังเดินตรวจคนไข้ในวอร์ดเสร็จตอนเที่ยงกว่าๆ ผมจึงมีเวลาว่างมาเช็คไลน์ เมื่อคืนมีข้อความจากพี่รหัสของผมเข้ามาด้วย Noeyyii : เสาร์หน้าอย่าลืมงานพี่น้า <3 9:03 AM Noeyyii : น้องพีทมาได้ใช่ป่าว 9:03 AM เกือบลืมไปเลย เสาร์หน้าพี่รหัสคนดีของผมจะแต่งงานนี่หว่า ต้องหาเวลาไปซื้อของขวัญซะหน่อยละ Pete : ได้ค้าบผม 12:26 AM ไม่นานนักพี่เนยก็ตอบกลับมาด้วยสติกเกอร์ ผมสไลด์ว่าอ่านแล้วหลังจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อกาวน์ก่อนเดินทางไปโรงอาหาร ผมเป็นคนไม่ซีเรียสกับการอ่านไม่ตอบ แรกๆ นี่เจอเพื่อนงอนบ่อยมาก หลังๆ มันก็ชินกับนิสัยนี้ของผม ไม่รู้สิ บางครั้งผมแค่รู้สึกว่าธุระมันจบแล้ว จะพยายามทำให้ยืดยาวทำไม สักวันมันก็ต้องมีคนหนึ่งจบก่อนอยู่ดี ความรักก็เช่นกัน ไม่ใช่ละ... ทำงานไปเรื่อยๆ จนได้เวลาเลิก ผมบอกลาพี่ๆ พยาบาลแถวนั้นก่อนเก็บของกลับบ้าน วันนี้วันศุกร์ โชคดีที่ไม่ต้องอยู่เวร ผมตั้งใจจะไปออกกำลังกายในฟิตเนสคอนโดสักหน่อย บอกแล้วไงว่าผมพยายามเฮลตี้อยู่ วันศุกร์ตอนเย็นรถติดตามคาด ผมใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ บนรถไปกับการฟังเพลงตามวิทยุไปเรื่อยๆ ผมไม่มีแนวเพลงที่ชอบเป็นพิเศษ ขอแค่ฟังสบายๆ ไม่เมทัลร็อคบีทหนักๆ หรือนักร้องร้องเสียงว้ากจนเกินไปเป็นอันใช้ได้ คอนโดผมไม่มีการกำหนดที่จอดรถสำหรับผู้อาศัย เพราะงั้นวันนี้ผมเลยได้ที่จอดที่ชั้นสาม บอกตามตรงว่าแอบกลัวเหมือนกันที่จะต้องไปจอดชั้นหก ก็ถ้าพวกคนร้ายยังซุ่มอยู่ล่ะ ผมไม่โดนลูกหลงตายเหรอ หลังออกกำลังกายจนเหงื่อโซมตัวผมก็กลับมานอนแผ่หลากลางห้อง ไม่กล้าขึ้นไปนอนบนเตียงทั้งที่ตัวเหม็นงี้หรอก ขี้เกียจซักผ้าปูที่นอนอีก ปกติผมชอบทำอาหาร แต่พออยู่คอนโดแล้วเมนูกลิ่นไม่แรงที่พอจะออกไปทำที่ระเบียงได้มันก็มีจำกัด ผมก็มักอาศัยช่วงศุกร์เย็นที่ชาวบ้านชาวช่องเขาชอบออกไปสังสรรค์ข้างนอกนี่แหละ ยกกระทะไฟฟ้าไปทำที่นอกระเบียง ลองพิสูจน์มาแล้วว่าเวลานี้แหละปลอดภัย ไม่มีใครเอาไปร้องเรียนนิติบุคคล หลังนอนผึ่งจนตัวแห้งผมก็ขนวัตถุดิบที่เอาออกมาละลายน้ำแข็งนอกตู้เย็นตั้งแต่ตอนเปลี่ยนชุดก่อนไปฟิตเนสออกมา วันนี้ผมตั้งใจจะทำแกงเขียวหวานผัดแห้งกับไข่เจียวหมูสับ เป็นไงล่ะครับ แค่ชื่อก็ได้กลิ่นแล้วใช่มั้ย ผมจัดการทอดไข่เจียวหมูสับพักไว้ก่อนมาเริ่มผัดแกงเขียวหวาน ก็เพราะว่ามีกระทะอยู่ใบเดียวไงเลยต้องทำทีละอย่าง ตอนแรกผมอยากเลือกห้องชั้นบนๆ ที่ทำอาหารในห้องได้เหมือนกัน แต่พอมาคำนวณราคาดูแล้ว ผมนอนที่โรงพยาบาลเยอะกว่าที่ห้องอีก ทำแบบนั้นมันออกจะเปลืองเงินไปเสียหน่อย เงินเดือนหมอไม่ได้เยอะเหมือนที่หลายๆ คนเข้าใจนะครับ ก๊อก ก๊อก เสียงเหมือนคนเคาะประตูห้อง แต่ผมยังนั่งนิ่งเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ก็แน่ล่ะ ไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่เสียหน่อย ใครจะมาเคาะกันล่ะ ก๊อกๆๆๆ แต่เสียงเคาะที่รัวขึ้นก็ทำให้ผมต้องเดินไปเปิดหลังจากจัดการยกอาหารลงจากเตา ในใจยังคงคิดว่าเขาเคาะผิดห้องอยู่ “โอ๊ะ” “Hi” “เอ่อ มีไรเปล่า” คิดว่าหลายๆ คนคงเดาถูกว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ใช่ครับ มันนั่นแหละ ไอ้กรนั่นเอง “เมื่อกลางวันกูไปหาหมอมา ได้ยามาด้วย แต่จำไม่ได้ว่ากินยังไง” ผมรับถุงใส่ยาจากมือมันมาดู “ข้างซองยามันก็เขียนไว้ไม่ใช่เหรอวะ เนี่ย” ผมชี้ให้มันดูฉลากข้างซองยาแก้ปวด ลดบวมและยาปฏิชีวนะ “ก็กินหลังอาหารตามที่เขาเขียนนั่นแหละ”ผมลอบมองเสี้ยวหน้ามันอย่างไม่ไว้ใจ มันไม่โง่จนไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร มันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ “แล้ว... พยาบาลเค้าบอกว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ แต่กูยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เมื่อวาน” “แล้วยังไง” “มึงมีวิธีอาบน้ำไม่ให้แผลเปียกป่ะ” เฮ้อ หมดกันดีกรีนักเรียนนอก มึงไม่รู้จักนวัตกรรมที่เรียกว่าการเช็ดตัวเหรอวะ “มึงนี่น้า เข้ามาๆ” ด้วยความขี้เกียจอธิบาย ผมเลยชวนมันเข้ามาในห้องเล็กๆ ของผม โชคดีที่กรมาคนเดียว ไม่ได้มีผู้ติดตามมาด้วย ไม่งั้นห้องนี้คงไม่มีที่นั่งกันพอดี “ถอดเสื้อ” ผมสั่งหลังกดบ่ากว้างให้นั่งลงบนโซฟา “มึงจะทำอะไรกู” กรยกมือขึ้นปิดบังร่างกายอย่างตอแหล ผมหลุดหัวเราะออกมา มันยังกวนตีนเหมือนเดิมเลย ผมดีดหน้าผากมันไปทีอย่างลืมตัว ก่อนจะผละไปเอากะละมังล้างผักกับผ้าเช็ดผมผืนเล็กมาเตรียมเช็ดตัวให้คนป่วย เมื่อผมกลับมา ไอ้คนป่วยตรงหน้ากลับนอนดูทีวีสบายใจเฉิบเสื้อผ้าอยู่ครบ นี่มึงอยากอาบน้ำจริงป่ะเนี่ย กูยอมให้มึงเอาร่างสกปรกๆ มาวางบนโซฟาห้องกูก็ดีแค่ไหนแล้ว “กร ลุก” ผมว่าเสียงเรียบ มันหันมามองนิดหน่อยแต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของผมก็ยอมเดินตามเข้ามาในห้องน้ำ ผมนั่งลงกับพื้นก่อนมันจะทำตาม ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ เลยจัดการถอดเสื้อเชิ้ตของมันออกด้วยตนเอง เมื่อรอยแผลเป็นจางๆ ตามตัวปรากฏสู่สายตา ผมก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนตรงหน้า แต่กลับพบว่ามันกำลังจ้องผมอยู่เช่นกัน รู้สึกว่าแววตานั้น ทำหัวใจผมลำบากอีกแล้ว ผมเริ่มซับผ้าเปียกหมาดตามหน้า คอ และลำตัวอย่างเบามือโดยระวังไม่ให้โดนแผลที่เพิ่งผ่ากระสุนออก ไม่ได้เช็ดแรงๆ กะให้ตัวสะอาดอะไรหรอก แค่อยากให้รู้สึกเหนียวตัวน้อยลงเท่านั้น “มึงดูเกร็งนะ” ผมสะดุ้งนิดหน่อยเพราะเสียงที่อยู่ๆ ก็ดังทำลายความเงียบระหว่างเรา “ยังไง” ผมตอบยิ้มๆ และควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่แน่นอน ผมบังคับหัวใจไม่ให้สั่นไม่ได้ “ไม่รู้สิ” ผมเงยหน้ามองมัน อีกฝ่ายจุดยิ้มมุมปากบางๆ ผมเลยได้แต่ด่ากลับไป “กวนตีน” “ฮ่าๆๆ” “พอเลย ที่เหลือมึงจัดการเองละกัน” ผมลุกขึ้นเตรียมเอาน้ำไปทิ้งแต่กลับถูกฉุดข้อศอกเอาไว้ ผลก็คือผมเสียหลักทำกะละมังล้างผักร่วงโครมใส่หน้าตักอีกฝ่ายอย่างจัง “เชี่ย โทด” ผมรีบก้มลงไปเช็คแผล โชคที่โดนแค่น้ำกระเด็นใส่หยดเล็กๆ ที่สามารถใช้มือลูบออกได้ แต่กางเกงสแล็คของมันนี่สิ เปียกไม่เหลือชิ้นดี สุดท้ายเลยไล่ให้มันไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนในห้องของผม สูงห่างกันแค่ราวๆ สิบกว่าเซ็นต์ หวังว่ามันจะหาอะไรใส่ได้นะ ส่วนตัวเองก็จัดการเช็ดน้ำที่หกเต็มพื้น ทำไมผมต้องเป็นคนทำด้วยวะ ไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย “อ่ะ” มันยื่นแก้วน้ำเย็นมาให้ขณะที่ผมกำลังสาละวนอยู่กับการบิดไม้ม็อป “ไม่อ่ะ” “ทำไมอ่ะ รังเกียจกูหรอ” “ไม่ใช่” “หรือว่าโกรธที่น้ำหก หรือรำคาญกู” “คือกูแค่ไม่กินน้ำเย็นไง” หลังจบประโยคนั้นก็เกิดเดดแอร์ชั่วขณะ กรเกาท้ายทอยเหมือนรู้สึกผิดก่อนจะเดินออกไปเอาน้ำแก้วใหม่มาให้ผม เฮ้อ... มันจะลืมก็ไม่แปลกหรอก ไม่ได้เจอกันตั้งนานขนาดนั้น แต่ก็แปลกดีที่ผมยังจำเรื่องของมันได้แทบทุกอย่าง อย่างเช่นมันกินน้ำเต้าหู้ไม่เป็น ชอบกินทอดมันกุ้ง หรือชอบเข้าใจผิดว่ามะเขือพวงในแกงต่างๆ คือถั่วลันเตา “ซอรี่เว่ยพีท กูแค่...” “ไม่เป็นไร” ผมรับน้ำมาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “แล้วนี่ทำไมไม่ใส่เสื้อ” ผมส่งสายตาดุๆ ไปให้ สภาพมันตอนนี้คือใส่กางเกงเลเอวต่ำอยู่ตัวเดียว เผยให้เห็นรอยสักรูปตัว P ด้วยฟอนท์เรียบๆ แต่สวยงามที่เชิงกรานด้านขวา ผมสงสัยว่ามันไปสักมาตั้งแต่เมื่อไร แต่คิดอีกทีมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะงั้นไม่ถามดีกว่า “เสื้อมึงเล็ก มันเสียดสีกับแผล” ผมลองคุ้ยตู้เสื้อผ้าดูก็จริงอย่างที่มันว่า ผมเป็นคนไหล่เล็กเลยชอบใส่เสื้อพอดีตัว เพราะเวลาใส่เสื้อผ้าโคร่งๆ ทีไร รู้สึกฮิปฮอปบอยสไตล์ทุกที “แล้วมึงจะเดินกลับห้องสภาพนี้เหรอ” ผมมองมันหัวจรดเท้า ถึงหน้าตาหุ่นเหิ่นจะดูดีแค่ไหน แต่มันไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาใส่กางเกงเลตัวเดียวเดินในคอนโดหรอกนะ “งั้นให้กูนอนนี่ได้ป่ะ” “ฝันไปเหอะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD