“ไอ้พี่มาร์ค ปล่อยหนู...พี่พีทช่วยด้วย พี่ไมค์...โอ้ย! เวียนหัวไปหมดแล้วเนี่ย นิสัยไม่ดีแบบนี้ไงถึงไม่มีแฟนกะเขาสักทีน่ะ” ร่างเล็กที่ถูกแบกวิ่งไปวิ่งมา ห้อยหัวอยู่ด้านหลังแกร่งของมาร์คตะโกนเรียกให้คนช่วยไม่หยุด มือเล็กก็ทุบไปบนหลังของคนขี้แกล้งพัลวัน พนักงานโรงแรมต่างก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กับความขี้เล่นของสามหนุ่มเจ้าของโรงแรม ด้วยรู้นิสัยกันดี
“โห! ไอ้หนาม ปากแกนี่มันน่า...นะ ที่พวกฉันไม่มีแฟนเพราะไม่อยากมีโว้ย!...ดูปากพี่มาร์ค ไม่...อยาก...มี!” วางร่างเล็กแล้วยื่นหน้าเข้าชิด ลอยหน้าลอยตาราวกับเป็นเด็กหญิงตัวเล็กเจ้าของวลี “ดูปากนิชานะคะ” ซึ่งน่านนรีเห็นหนุ่มหน้าเข้มทำแล้วมันน่าขำมากกว่าน่ารัก จนหลุดหัวเราะเสียงดังจนเจ็บท้องไปหมด
“พี่มาร์ค ทำได้ไงน่ะ ไม่อายพนักงานบ้างเหรอ” ก้มหน้าก้มตาหัวเราะพร้อมกับส่งเสียงถามไปด้วย
“เออว่ะไอ้มาร์ค แกทำไปได้ไงวะ น่าเกลียดชิบ!...” ไมค์ทำสีหน้าขยาดส่ายหัวให้กับความทะลึ่งของน้องชาย แล้วเดินเลี่ยงไปนั่งลงตรงข้ามกับภาทิศที่กำลังนั่งยิ้มสบายใจเมื่อเห็นเด็กสาวหัวเราะได้
“หนาม...มานั่งนี่เร็ว” ภาทิศกวักมือเรียกแล้วตบเบา ๆ ที่หน้าขาของตัวเอง
“ตกลงพวกพี่มีอะไรจะใช้หนูหรือเปล่า” น่านนรียกมือขึ้นเสยผมหน้าม้าขึ้นไปไว้ด้านบน หลังจากทรุดตัวนั่งบนตักแกร่งของพี่ชายคนสนิทอย่างเคยชิน หันหน้าไปทางพี่ชายฝาแฝดที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตานิ่ง เปลี่ยนอารมณ์เข้าสู่โหมดจริงจัง แสดงให้เธอรู้ว่าเรื่องที่สามหนุ่มจอมมารจะพูดกับเธอคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่
“ทำไมปล่อยตัวเองโทรมแบบนี้...” คำถามแรกจากมาร์คที่เคยหัวเราะสดใส แววตาเรียบนิ่งจ้องมองตอนนี้ช่างห่างไกลนักกับหนุ่มมาดเข้มจอมทะลึ่งเมื่อครู่จนน่านนรีเผลอหลบตา
“เสื้อผ้าก็ไม่เคยซื้อใหม่เลยใช่ไหม...” ไมค์เริ่มคำถามที่สองพร้อมสายตากราดมองเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วจ้องนิ่งไปยังรองเท้าผ้าใบสีซีด จนเจ้าของก็แทบจำไม่ได้ว่าแต่เดิมเจ้ารองเท้าคู่ใจที่ชอบใส่ มันมีสีอะไรกันแน่
น่านนรีหลุบตามองพื้น สองแขนเรียวยกขึ้นกอดอกเนื้อตัวเริ่มสั่นน้อย ๆ ก้อนแข็ง ๆ วิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนเธอรู้สึกว่ามันเจ็บร้าวไปหมดกับน้ำเสียงและแววตาเอื้ออาทรทั้งสามคู่ที่ทอดมองมา
“เหนื่อยไหม...หนาม!” เสียงทุ้มใกล้หูจากเจ้าของตักแกร่งทำให้สองแขนเล็กเพิ่มแรงกอดกระชับตัวเองมากยิ่งขึ้น ใบหน้าเรียวก้มงุดไม่ยอมเงยขึ้นสบตาของพี่ชายทั้งสามคน
“แหม...เหนื่อยสิพี่...หนามไม่ใช่หุ่นยนต์นะ” สูดหายใจเงยหน้าขึ้นยิ้ม พูดติดตลก ดวงตาหม่นพยายามแสดงความสดใสที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังฝืนความรู้สึกมากแค่ไหน
“แต่อีกปีเดียวหนูก็จบแล้วนะ อดทนอีกนิดเดียวเอง พวกพี่ไม่ดีใจเหรอ หนูจะจบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 18 ปีเองนะ” น่านนรียิ้มสดใสมากขึ้นเมื่อเอ่ยถึงความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
เพราะเป็นเด็กกำพร้าในมูลนิธิแมคเรอเวล น่านนรีเลยคิดว่าต้องทำทุกทางที่จะเรียนจบให้เร็ว และใช้เงินให้น้อยที่สุด เธอจึงเลือกเรียนนอกระบบและใช้วิธีสอบวัดระดับไปเรื่อย ๆ จนจบมัธยมต้น และเริ่มเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนใกล้ ๆ กับมูลนิธิ พร้อมกับสมัครเรียนหลักสูตรพรีดีกรีของมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งไปด้วยเพื่อเก็บหน่อยกิตของระดับปริญญาตรี
ดังนั้นเมื่อเธอจบมัธยมปลายแล้ว น่านนรีออกมาหาเช่าหอพักอยู่เอง และเริ่มหางานพิเศษโดยการแนะนำของภาทิศ ให้มาทำงานกับเพื่อนที่เป็นผู้จัดการฝ่ายเทคโนฯ ของบริษัทอสังหาฯ ติดอันดับโลกอย่างมาเวลราจฯ หลังจากนั้นก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
น่านนรีก็ใช้เวลาเรียนอีกเพียงแค่สองปีเท่านั้นก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และขณะนี้ก็ผ่านมาได้แล้วหนึ่งปี ฉะนั้นก็เหลืออีกเพียงปีเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนการที่เธอวางเอาไว้ ซึ่งเธอสามารถประหยัดเวลาและประหยัดเงินได้อีกมากทีเดียว
ถึงแม้มันจะต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยาก และลำบากแค่ไหน มันก็คุ้มค่า อย่างน้อย ๆ เธอสามารถนำใบปริญญาไปสมัครงาน มีหน้าที่การงานสามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
“พี่รู้ว่าเราทำได้แต่...” เสียงภาทิศเรียกใบหน้าเล็กหันมามองด้วยรอยยิ้มขอบคุณ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมแล้วพูดเสียงดัง
“พวกพี่เห็นไหม นี่ไง” เสียงใสพร้อมกับนิ้วชี้จิ้มมาที่ขมับตัวเอง พูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“หนึ่งสมอง...” ยกมือสองข้างขึ้นสูง “สองมือ...และ” เตะขาทั้งสองข้างขึ้นลงเบา ๆ พร้อมกับคำพูดน่า... “แถมให้อีกสองตี...” หัวเราะเสียงดังเมื่อมาร์คยกมือขึ้นมาตบเบา ๆ บนหน้าผากนูน และเสียงหัวเราะของทั้งสามหนุ่มก็ประสานกันลั่นเมื่อมาร์ค จับเท้าเล็กข้างหนึ่งไว้แน่นแล้วดึงรองเท้าผ้าใบออกทิ้ง ทำท่าจะจักจี้ฝ่าเท้าของคนแถมสองตี...ให้พี่ ๆ
“พี่มาร์ค...ไม่เล่นนะ นะคนหล่อของน้อง” น่านนรีส่งเสียงอ้อนพร้อมทำตาปริบ ๆ จนมาร์คอดยิ้มไม่ได้แล้ววางเท้าบางลงพื้น พร้อมกับยกนิ้วชี้เป็นเชิงคาดโทษ
“พวกพี่เห็นนกตัวนั้นไหมคะ?” เมื่อใส่รองเท้าเสร็จเรียบร้อย คนตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืนหันมองไปทางด้านนอก ที่ตอนนี้บนต้นไม้ใหญ่มีนกตัวหนึ่งกำลังยืนเกาะอยู่
“อืม...ทำไม ก็แค่นกกระจอก แปลกตรงไหน” ทั้งสามหนุ่มมองตามนิ้วเรียว เสียงทุ้มของมาร์คก็เอ่ยทีเล่นทีจริงพลางยกมือขึ้นกอดอกเลียนแบบเจ้าของคำถาม
“ทั้ง ๆ ที่มันรู้ว่ากิ่งไม้อันนั้นมันหัก! แต่ทำไมมันยังกล้าที่จะเกาะ?” เสียงเรียบเรื่อย ดวงตากลมยังจ้องมองไปยังนกกระจอกตัวจ้อย
“เพราะมันมั่นใจ ในกำลังของปีกมันยังไงล่ะคะ ถ้ากิ่งไม้มันหักจนร่วงลงมา แต่ด้วยปีกที่แข็งแรง ก็จะพามันโบยบินขึ้นมาได้ ไม่ร่วงลงไปพร้อมกับกิ่งไม้” เสียงใสทิ้งจังหวะพลางสูดหายใจเข้าลึก ยืดอกอย่างมั่นใจก่อนจะเอ่ย
“หนามมั่นใจค่ะ! ว่าหนามแข็งแรงพอ!” น่านนรีย้ำเสียงหนักแน่น มั่นคงจนทั้งสามหนุ่มหันมายิ้มให้กัน ภาทิศเดินเข้าไปยืนข้างร่างบางยกแขนแกร่งขึ้นโอบกระชับไหล่มนของเด็กสาวที่พวกเขาต่างภูมิใจ
ภาพของน้องน้อยที่พวกเขาเคยเฝ้าฟูมฟักจนเติบใหญ่ และตอนนี้ได้กลายเป็นคุณแม่ลูกสามของสามีขี้หวง ฉายชัดอยู่ในดวงตาของเด็กสาวคนนี้จนพวกเขาอยากจะเชื่อว่า ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน!
ภาทิศจ้องมองใบหน้าของน่านนรีอย่างกังวลและแอบหวั่นในใจไม่ได้กับปมในใจที่ยังคอยตามหลอกหลอนเธอ แม้พวกเขาจะช่วยกันเยียวยาด้วยความรักความอบอุ่นมากเท่าไร มันก็ยังไม่สามารถลบภาพความทรงจำเลวร้ายที่เด็กคนนี้เผชิญมาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาได้
“อืม...หนามพรุ่งนี้ว่างไหม” ภาทิศหันมาหาร่างบางข้างตัวซึ่งกำลังยืนกอดอกเหม่อมองออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย แต่พอได้ยินเสียงทุ้มของพี่ชายคนสนิทก็หันมาส่งยิ้ม
“ว่างค่ะ มีไรเหรอ”
“ไปบ้านดอนเรอวานนี่กัน ไม่ได้ไปเล่นกับหลานนานแล้วนี่” มาร์คเดินเข้ามาโอบไหล่ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“ไปสิคะ เซปเข้าโรงเรียนแล้วนี่ หนามลืมไปเลยค่ะ เซนเซคงงอนหนามแน่เลย บอกไว้ว่าจะแวะไปเล่นด้วยบ่อย ๆ” น้ำเสียงแสดงความดีใจเมื่อคิดถึงเด็ก ๆ น่าตาน่ารักทั้งสามคนที่มักจะเรียกให้อุ้มเสมอเวลาเจอหน้ากัน