รถเก๋งสีแดงคันเก่ากับ6สาวน้อยสาวใหญ่ นั่งเบียดเสียดกันอยู่ด้านในพร้อมหอบข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นติดมือมาคนละสองถึงสามกระเป๋า โมรีซึ่งเป็นคนขับ เลือกเปลี่ยนเส้นทางจากถนนสายหลัก เลี้ยวไปตามเส้นทางลัดสู่ไร่ที่เป็นสถานที่ทำงานแห่งใหม่ของพวกเธอ
ไร่ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอดีตมากมายระหว่างเธอและเขา
ถนนเส้นนี้ก็เช่นกัน
เธอและเจคอปในชุดนักเรียนลอยชายเคยเดินจับมือ เคียงคู่กันไปราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่เธอและเขา
ทุกอย่างเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา
จากที่เดินข้างกันในอดีต ตอนนี้มีเพียงแค่เธอที่กำลังขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ไร่ซึ่งเป็นบ้านของเขา นับตั้งแต่วันนั้น...
เธอก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย ทราบเพียงว่าเขาไปเรียนต่อที่เมืองนอก ในใจเธอเฝ้าภาวนาว่าอย่าได้เจอกันอีก
เธออายเหลือเกิน
เอี๊ยดด!
“ห๊ะ!”
แต่แล้วโมรีก็ต้องเบรกรถจนทุกคนหัวทิ่มหัวคะมำ
“โอ๊ย ขับรถอะไรของมึงวะ”
เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงบ่นระนาวของพี่ๆ หรือเสียงก่นด่าจากผู้เป็นแม่ที่นั่งเบาะข้างๆเลยสักนิด
เพราะตอนนี้ ดวงตากำลังเบิกกว้าง อ้าปากค้าง มองป้ายขนาดใหญ่ตรงทางเข้าไร่ที่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ ว่า ไร่เจตภพ
“จะ เจต ตะ ภพ งั้นหรือ!?”
นั่นแสดงว่า เขากลับมาแล้ว!
กลับมาสานต่องานที่บ้าน ให้ตายเถอะ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้
หัวใจโมรีเต้นแรงแทบจะหลุดจากอก ทว่า มือไม้กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะขับไปต่อ
“ว่าไงโมรี รถแกเป็นอะไร?”
“อาห์.. ฉันส่งทุกคนที่นี่พอนะ พอดีว่ารถเกิดเสียน่ะจะรีบเอาเข้าอู่”
“ข้างในไร่มีอู่ซ่อมรถด้วยนะ ซ่อมตั้งแต่จักรยานยันเครื่องบิน”
แม่เธอรีบเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ฉันไม่ไปทำงานแล้ว .โอ๊ย!
พูดไม่ทันขาดคำก็โดนมะเหงกจากแม่บังเกิดเกล้าเคาะลงที่กลางกบาลเธอทันที
“นี่แหนะ จนละไม่เจียม รายได้ดี มีข้าว มีที่พัก ถ้ามึงไม่ทำแล้วจะไปพักไหน? เค้าอนุโลมให้แค่เด็กในวัยเรียนเท่านั้นถึงจะพักกับผู้ปกครองได้ มึงล่ะ? โตเป็นควายแล้วทำๆไปเถอะ อานาจักรกว้างใหญ่ขนาดนี้ไม่มีใครเค้ามาสนใจแลมองคนงานอย่างเราๆหรอก รีบขับเข้าไปเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”
“จ้ะแม่”
เธอรับคำเสียงอ่อน
วันนี้ทั้งวันไม่ได้ออกแดดตากลมตามที่คิด เพราะมีฝ่ายบุคลากรเข้ามาอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสวัสดิการ การกฎระเบียบและข้อบังคับภายในไร่ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการบริหาร
คุณภูผาแต่งตั้งให้ เจคอป หรือเจตภพ บุตรชายคนโตเข้ามาสานต่ออาณาจักรแห่งนี้แทน โชคดีที่ครอบครัวนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพราะลูกชายคนรองไปเอาดีในด้านศิลปะ และทำvlogเกี่ยวกับงานวาดภาพผ่านการเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ส่วนลูกสาวที่ส่งไปเรียนเมืองนอก หลังจากเรียนจบเธอก็พบรักกับหนุ่มนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสและตัดสินใจปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น
โมรีทราบรายละเอียดคร่าวๆจากการแอบถามแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำผู้รู้ทุกข่าวคราวความเคลื่อนไหวภายในไร่ยิ่งกว่านักข่าว ป้าแม่บ้านเริ่มคันปาก วางไม้กวาด ยืนพิงผนังห้องน้ำมือเท้าสะเอวเล่าให้เธอฟังว่า
“ยิ่งช่วงนี้กำลังวุ่นวาย เพราะอาการคุณทัศนาแม่ของคุณภูผาน่ะ ท่านเริ่มไม่ค่อยสู้ดีแล้ว ยื้อกันไว้ตั้งนาน ตอนนี้ลูกหลานทุกคนทยอยกันกลับมาดูใจ เหลือแค่ถอดสายอ็อกซิเจนเท่านั้นแหละ”
“แล้วคุณ เอ่อ..คุณเจคอปล่ะป้า มายัง?”
เธอลอบถามพลางทำทีเป็นส่องกระจกโปะแป้งพัพ ทาปาก
“โอ๊ย รายนั้นมาเป็นเดือนๆแล้ว มาไม่ทันไรก็มีหวานใจเป็นอดีตนักร้องดังมานั่งเฝ้าในห้องทำงานแล้วล่ะ”
หัวใจเธอหวิวสั่น คล้ายมันกำลังตกวูบลงช่องท้อง
“คะ ใครเหรอป้า”
“ป้าจำชื่อไม่ได้ อ้อ แต่มีภาพนะ วันนั้นป้าไปทำความสะอาดในห้องคุณเค้าพอดี เลยแอบถ่ายภาพ นี่ไง”
โมรีแสร้งวางสีหน้าเพิกเฉย แต่พอป้าแม่บ้านควักมือถือขึ้นมา ใบหน้าเธอรีบก้มต่ำเพ่งตามองอย่างสนใจ
สาวสวย รูปร่างผอมบาง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าจิ้มลิ้มคนนั้น
เธอคือคุณ นัชชา นักร้องเกิร์ลกรุ๊ป ที่เธอเคยชอบมากๆ
ภาพในอดีต ในวันที่เธอและเขาเดินจับมือกันไปตามถนนลูกรังสายเก่า และเพลงของนัชชา ที่เธอฟังทุกวัน บางวันเธอยังยื่นหูฟังให้เขาฟังด้วย
โมรียืนเหม่อ แป้งพัพตลับละสองร้อยในมือเธอหล่นลงในกระเป๋าเครื่องสำอาง
ในความหวังลึกๆว่าอาจจะได้เจอ
ภายใต้ความหวังนั้นจึงตั้งรับไว้ก่อนด้วยการมาแต่งหน้าทาปากให้สวยสะดุดตา
แต่แล้ว ก็ถูกความจริงตบเข้าที่หน้า เล่นเอาชาวาบไปทั้งตัว
ในขณะที่ป้าแม่บ้านก็หยิบไม้กวาด ก้มทำความสะอาดพร้อมกับพล่ามไปเรื่อย
“.. นี่แหละนะ ที่เค้าว่า ดาราต้องคู่กับไฮโซ ก็อย่างว่า คนหล่อ รวย หุ่นนายแบบ ครบขนาดนั้นใครจะไม่สน เนอะ แล้วพวกหนูที่เป็นคนงานชุดใหม่นี่คงจะได้ช่วยกันปลูกสวนดอกไม้ โครงการใหม่ที่คุณเจคอปเค้าทำเพื่อเอาใจสาวด้วยแหละ ..แล้วหนูชื่ออะไร”
พอหันไปถาม เธอกลับไม่พบสาวร่างบางคนนั้นแล้ว
การอบรมเสร็จสิ้นในเวลาบ่ายสาม คุณลุงสมพร หัวหน้าคนงาน เดินนำพาพวกเธอไปยังที่พัก ลักษณะเป็นห้องแถวชั้นเดียวเรียงรายกันยาวเหยียด ด้านหลังห้องพักเป็นลักษณะป่าละเมาะ ถัดออกไปจะมีลำธารน้ำใสสะอาด
พวกเธอถูกจัดให้อยู่ห้องละ2คน เธอและแม่ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูห้องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัด มีแค่พัดลมและตู้เสื้อผ้าให้ แต่เพียงแค่นี้ก็นับว่าดีสำหรับชีวิตที่ต้องระเห็จระเหินอย่างพวกเธอ
เวลาพลบค่ำ คนงานเริ่มทยอยกันกลับที่พัก ได้ยินเสียงสาวๆจากร้านคาราโอเกะแหกปากโวยวายตั้งวงกันอยู่บนแคร่ใต้ต้นมะขามหน้าหอพักแล้วต้องบืนปากแทนการต้อนรับ
โมรีเห็นดังนั้นจึงนั่งไม่ติด ร่างบางลุกขึ้นยืนสะกิดทุกคน
“นี่ ฉันว่าพวกพี่ไปกินในห้องเถอะ ดูสิ คนมองกันใหญ่แล้ว”
“มองจะทำไมวะ ก็คนมันจะสังสรรค์วันแรกไม่ได้รึไง ใช่มั้ยจ๊ะพี่”
พี่เขียว ผู้ชอบพูดจาโผงผางหันไปขยิบหางตาใส่หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง
“อ้อ ได้จ้า พวกหนูกินได้ตามสบายเลยนะ”
“อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็มากินกับพวกเรานะจ๊ะพี่ ฮิ้ววว”
สาวๆในชุดเสื้อสายเดี่ยวกับผ้าถุงสีสันสดใส นั่งขัดสมาธิ บ้างก็นั่งท่าชันเข่าหนึ่งข้าง ต่างร้องแซวหนุ่มๆทุกคนที่เดินผ่าน
โมรีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินหนีเข้าไปนอนพักในห้อง ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ต้องยอมปล่อยแม่และฝูงนกเบลเบิร์ดได้ส่งเสียงร้องกันไป
ผ่านไปจนดึกแล้วเสียงยิ่งดังขึ้นพร้อมแหกปากร้องเพลง เคาะขวด ชวนผู้ชายทั้งวัยหนุ่มและวัยแก่เข้าไปร่วมวงดื่ม
โมรีที่ยังนอนไม่หลับจึงลุกขึ้นไปแอบมองแม่และพี่ๆที่แคร่ สภาพทุกคนตอนนี้เมาแอ๋ แถมยังมีผู้ชายมานั่งด้วยปล่อยพวกสาวคาราโอเกะมือไวทั้งควักทั้งล้วงเอาเงินกัน แม่เธอก็เป็นหนึ่งในนั้น
บางรายมีเมียมาตามกลับห้อง โดนบิดหูลากกันลงแคร่ แต่พวกแม่เธอกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกลับมองเป็นเรื่องขบขัน โห่ร้องแซว เคาะขวดสวดส่งกันสนุกปากไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
“เห้อ”
เธอทนเห็นสภาพแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนชินตา แม้จะไม่มีทางเห็นด้วยกับพฤติกรรมแบบนี้ของแม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่เป็นหนึ่งในลู่ทางการหาเงินมาเลี้ยงดูเธอจนเติบใหญ่
เธอหยิบมือถือ เปิดไฟฉายเดินลัดเลาะออกไปบริเวณลำธาร อาศัยฟังเสียงน้ำไหลเอื่อยที่เริ่มได้ยินชัดเจนมากขึ้น
พอเดินไปจนถึงลำธาร เห็นเรือนไม้หลังเก่ามีคนอาศัยอยู่ เห็นเงารูปร่างคล้ายผู้หญิงแก่กำลังเดินวนไปมาบนระเบียงเธอจึงพอโล่งใจอยู่บ้าง
“อย่างน้อยๆที่นี่คงไม่น่ากลัวหรอกมั้ง”
เธอพึมพำขณะเดินตรงไปทักทายป้าที่อาศัยอยู่บนเรือนหลังนั้นเพื่อผูกไมตรี
“สวัสดีค่ะป้า ..... ป้าคะ?”
เมื่อป้าหยุดยืนนิ่ง หันหลังคล้ายกำลังกลัวว่าเธอเป็นผีสางนางไม้ เธอจึงถือวิวสาสะเดินขึ้นไปบนบันได
ค่อยๆก้าวขึ้นไปทีละขั้นช้าๆ พลางร้องเรียก
“โธ่ ป้าคะ ไม่ต้องกลัวนะคะ หนูเพิ่งมาอยู่ใหม่”
พอหยุดยืนบนบันไดขั้นที่สาม ระหว่างนั้น โมรีเริ่มยิ้มค้าง ตาเพ่งมองลักษณะผิวพรรณที่เน่าเปื่อย ขนท้ายทอยเธอลุกชันขึ้นลามลงมาถึงสันหลัง สองขายืนจังงัง แล้วตอนนั้นเอง ป้าก็ค่อยๆหันหน้ามามองเธอ
“ผะ ผี อ๊า...
หมั่บ!
“อุ๊บ!”
อยู่ๆมีมือปริศนาปิดปากเธอไว้จากด้านหลัง ร่างบางที่แทบจะไม่หลงเหลือสติอยู่กับตัวลอยวืดไปตามแรงลากดึงของคนตัวใหญ่